วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - คืนป่าปิด



คืนป่าปิด

เป็นเรื่องที่เพื่อนของคุณเจ็คประสบพบเจอ แล้วนำมาเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ทั้งหมดพึ่งเกิดขึ้นได้มานาน บรรดาเพื่อนของคุณเจ็คนั้น เป็นคนที่ชอบตกปลามาก เมื่อตอนช่วงต้นเดือนก็มีการวางแผนกัน จะเข้าป่าไปหาปลาที่ต้นน้ำ
    ซึ่งต้นน้ำที่เพื่อนทุกคนจะเข้าไปนั้น เป็นรอยต่อละหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี กับจังหวัดระนอง ซึ่งการที่จะเข้าไปถึงต้นน้ำนั้น ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสักสองวัน เพื่อนก็ได้รวมตัวกันทั้งหมดห้าคน
    ได้ตระเตรียมเสบียงอุปกรณ์ทุกอย่าง พร้อมออกเดินทาง และก็ได้ไปว่าจ้างนายพรานคนที่เคยนำทางเข้าที่นี่มาก่อนแล้ว แต่ว่านายพรานปฏิเสธ เนื่องจากบอกว่า เวลานี้อยู่ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงป่าปิด ไม่ควรจะเข้าไป เพราะว่าอันตรายมากทีเดียว
    แต่ว่าเพื่อนๆหลายคนก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากว่าปีที่แล้ว เคยเข้าไปที่ต้นน้ำแห่งนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว ยังพอมีคนจำทางได้ จึงตัดสินใจออกเดินทางกันเอง โดยที่ไม่มีพรานนำ

    หลังจากทุกคนเตรียมตัวเสร็จ ก็ได้ขับรถไปจอดไว้ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับทางขึ้นเขามากที่สุด เวลานั้น เป็นเวลาประมาณเก้าโมงเช้า ทุกคนจึงรีบเดินขึ้นเขา มุ่งหน้าเข้าสู่ป่า
    เดินกันไปได้สักพักหนึ่ง ก็มาพบเจอเข้ากับนายทหารพรานทั้งหมดสี่นาย นายทหารเหล่านั้น ก็ได้ขอตรวจค้นสัมภาระ เนื่องจากต้องระวังผู้ลักลอบขนของผิดกฎหมาย หลังจากไม่เจออะไรแล้ว

    นายทหารคนหนึ่งก็ได้บอกว่า "ระวังให้ดี ในป่าช่วงนี้อันตราย" แล้วทุกคนก็ออกเดินทางต่อ เวลาก็ล่วงผ่านไปประมาณสักห้าโมงเย็น ซึ่งในป่านั้นจะมืดมาก ทุกคนจึงตัดสินใจมองหาที่พักเพื่อตั้งเต้นท์
    หลังจากทำอาหารเย็นทานแล้ว ทุกคนก็พักผ่อนกัน จนช่วงเวลาประมาณสักสามทุ่ม ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพักผ่อนนอนหลับนั้น จู่ๆทุกคนก็ได้ยินเสียงหนังตะลุง ดังมาจากปลายยอดเขาข้างหน้านั่นเอง
    ซึ่งบนยอดเขานั้น ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีชุมชน หากจะคิดว่าเป็นเสียงสะท้อนมาจากหมู่บ้านตีนเขานั้น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลเกินกว่าสิบกิโลเมตร
    เสียงหนังตะลุงที่ว่านั้น ดังอยู่นานเป็นชั่วโมง ดังถนัดชัดเจน จนสามารถจับใจความได้เกือบทั้งหมด ทุกคนในกลุ่มนั้นได้ยินกันหมด เพียงแต่ว่า ไม่มีใครกล้าที่จะพูด หรือว่าทักอะไรขึ้นมา

    เนื่องจากว่าการเข้าป่า ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า ถ้าเสียงดังจากป่า อย่าทักมั่วซั่ว ทุกคนก็เลยนอนฟังเงียบๆ จนสิ้นเสียงหนังตะลุง แต่ว่าทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงมโนราห์ ดังสอดแทรกขึ้นมาแทน
    เพียงแต่ว่าดังมาจากอีกทาง เสียงนั้นดังมาจากทางที่ทุกคนพึ่งจะเดินผ่านพ้นมา เสียงใกล้มาก มีทั้งเสียงคนร้อง เสียงดนตรี เสียงที่ได้ยิน ณ เวลานี้นั้น มันหน้ากลัวกว่าหนังตะลุงมาก
    ทุกคนในกลุ่มก็ได้แต่ปิดตา นอนฟังเงียบๆ ไม่มีใครกว่าพูดอะไร จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยความเพลีย พอตะวันขึ้น รุ่งเช้า ทุกคนก็มุ่งหน้าเดินทางกันต่อไป เข้าสู่ป่าที่ทึบขึ้นกว่าเดิม

    ต้นไม้ต้นใหญ่กว่าเดิม ก็เดินกันไปจนเวลาใกล้ค่ำ เข้าสู่คืนที่สอง หลังจากที่ทุกคนตั้งเต้นท์เสร็จ ทำภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น ใกล้ได้เวลานอนนั้น ทุกคนในกลุ่ม เพิ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า ป่าในเวลานี้นั้น มันเงียบผิดปกติ
    ไม่มีกระทั่งเสียงลม เสียงแมลง หรือว่าเสียงสัตว์กลางคืนใดๆทั้งสิ้น พอทุกคนหยุดสนทนากันนั้น ความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ก็เข้ามาแทนที่ ทำให้ทุกคนในกลุ่มนั้น เริ่มที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมา
    ซึ่งก่อนหน้านั้น ทุกคนยังสามารถได้ยินเสียงสัตว์ หรือว่าเสียงแมลงกลางคืนได้อยู่เลย ความเงียบสงัดนั้น ปกคลุมอยู่นานมาก ทุกคนจึงตัดสินใจที่จะเข้านอน แต่ว่ายังไม่ทันที่ทุกคนจะหลับกันดีนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเดิน
    เสียงนั้นอยู่ใกล้ๆ แต่เนื่องจากความเงียบ ทำให้ได้ยินชัดเจน ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสียงเดินนั้นมุ่งหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะว่าสิ่งที่เข้ามาใกล้นั้น มันคือเงา

    ทุกคนเห็นเป็นตาเดียวกันว่า สิ่งที่เดินเข้ามาก็คือเงาจำนวนทั้งหมดห้าเงา กำลังมุ่งหน้าเดินผ่านทุกคนในกลุ่มไป ทุกคนได้แต่นอนนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว หลังจากกลุ่มเงาทั้งห้าเดินผ่านไปแล้ว
    ก็ยังเห็นมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง เดินตามเข้ามา ลักษณะอาการนั้น เหมือนกับกำลังตามหาใคร พร้อมกับร้องเรียกห้าคนข้างหน้าที่ผ่านไปแล้วด้วย สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ กลุ่มคนข้างหลังที่เดินตามหานั้น มีคุณพ่อและน้าชายของเพื่อนในกลุ่มรวมอยู่ด้วย
    แล้วทุกๆคนก็เดินผ่านไป เพื่อนทุกคนในกลุ่มนั้น เริ่มกลัว ใจไม่ดี สงสัยว่าอาจจะมีอะไรเดินขึ้นก็เป็นได้ แต่เนื่องจากว่าขณะนั้น ในป่ามืดและเงียบมาก ทุกคนจึงตัดสินใจนอนเอาแรงกันก่อน

    จนกระทั้งเช้า ทุกคนลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ลืมเรื่องเมื่อคืนไปซะเกือบหมด เก็บข้าวของ แล้วก็ออกเดินทาง เพราะว่าต้นน้ำอยู่ไม่ไกลแล้ว พอไปถึงแหล่งต้นน้ำ ทุกคนก็ได้เริ่มออกหาปลา โดยใช้วิธีการดำลงไปในน้ำ แล้วใช้ไม้แหลมแทงปลา
    ซึ่งปลาต้นน้ำนั้นตัวจะใหญ่มาก แล้วก็มีจำนวนเยอะ ใช้เวลาหาปลากันสักสามชั่วโมง ทุกคนก็กำลังจะเตรียมตัวกลับ และก็รีบขึ้นมาช่วยกันทำปลาตรงนั้นเลย ชำแหละแล้วเอาเกลือทา เพื่อไม่ให้ปลานั้นเน่า
    ทุกคนช่วยกันทำใกล้จะเสร็จแล้ว จนมาถึงปลาตัวสุดท้าย สิ่งที่ไม่ตาดคิดก็เกิดขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีเสียงอะไรแปลกๆ คล้ายกับเสียงของสัตว์ร้องครวญคราง ดังออกมาจากป่าทุกด้าน
    และพอเพื่อนใช้มีดกรีดเข้าไปในเนื้อปลา เพื่อนก็ถึงกับสะดุ้ง พร้อมกับทิ้งปลาตัวนั้นลงไปในน้ำทันที เพราะตอนที่เอามีดกรีดเข้าไปในเนื้อปลานั้น มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาก

    ทุกคนก็หันไปมองว่า เสียงมันมาจากไหน และทุกอย่าง ก็กลับเข้าสู่สภาวะเหมือนเมื่อคืนอีกครั้ง นั่นคือทุกอย่างเงียบสงัด ทั้งๆที่เป็นกลางวัน เพื่อนในกลุ่มก็หันไปถามว่า "ทิ้งปลาไปทำไม ตัวก็ใหญ่ เสียดาย"
    แต่ว่าเพื่อนคนที่ทิ้งปลาไปนั้น ก็หันกลับมาตอบด้วยเสียงสั่นๆว่า "ตอนที่เอามีดหั่นเข้าไปในเนื้อปลา มันไม่ใช่เนื้อปลา มันเหมือนเนื้อคน แล้วก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมาเหมือนกับคนโดนมีดบาด"
    ทั้งกลุ่มได้ยินแบบนั้น จึงตัดสินใจเดินทางกลับทันที แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางกลับออกไปนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินตามมาจากด้านหลัง ไม่มีใครกล้าหันไปมอง
    แต่ว่าเสียงนั้นเดินตามมาตลอดทาง ล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ทุกคนกำลังหาที่พัก อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตคล้ายผู้หญิง ดังออกมาจากความมืดว่า "พวกเอ็ง พวกเอ็ง พวกเอ็ง" สิ้นเสียงนั้น
    แล้วก็มีเสียงช้าง เสียงลิง เสียงนก เสียงแมลงร้องดังกระหึ่มทั้งป่า เสียงเหล่านั้นดังมาก แล้วฟ้าก็ค่อยๆเริ่มที่จะมืด ในระหว่างที่เสียงสัตว์ต่างๆยังคงดันอยู่นั้น ทุกคนในกลุ่ม ก็ต้องขนลุกไปตามๆกัน

    เมื่อได้ยินเสียงร้องกล่อมเด็กดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ทุกๆคนรีบหยิบไฟฉายประจำตัว แล้วก็ส่องไปรอบบริเวณ ภาพที่เห็น ทำให้ขนหัวลุกยิ่งกว่าเดิม เพราะว่ารอบๆตัวของทุกคนนั้น มีคนวิ้นอยู่เต็มไปหมด ทั้งวิ่งวนไปมา ทั้งกระโดดขึ้นต้นไม้ กระโดดลงมาจากต้นไม้
    ทุกคนเริ่มตัวสั่นและจับกันเป็นกลุ่ม เสียงนั้นก็ยังดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีเพื่อนเอาปืนออกมายิงขู่ขึ้นฟ้า แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เลยตัดสินใจเอามีดหมอออกมาจากประเป๋า เท่านั้นเอง เสียงทุกอย่างก็เริ่มที่จะเงียบ
    ทุกคนจึงตัดสินใจว่า ต้องรีบออกไปจากตรงนี้ก่อน ไปหาที่พักที่อื่นแทน แล้วทุกคนก็รีบเดิน พร้อมกันนั้น ก็ทิ้งปลาที่หามาได้ทั้งหมดไปด้วย เริ่มที่จะรู้สึกไม่ดีกันแล้ว ในระหว่างทางที่ทุกคนเดินออกมานั้น ก็ยังได้ยินเสียงคนเดิมตามอยู่เบื้องหลัง ตามาตลอดทาง
    และในบางจังหวะ ก็จะมีเสียงแปลกๆ ดังมาเป็นระยะๆ เช่น "หื่มๆๆ" คล้ายๆกับว่ามีคนจำนวนมากมายตามมา ทำให้ทุกคนในกลุ่มไม่หล้าที่จะหยุดเดิน มีแต่เดินเร็วขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปสักระยะ ทุกคนในกลุ่มเริ่มที่จะเหนื่อย
    เลยชลอฝีเท้า และก็หยุดเดินในที่สุด แต่ว่าเสียงเหล่านั้น ก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เพื่อนคนเดิมจึงหยิบมีดหมอออกมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็เงียบลง ก็เลยตัดสินใจกันว่าจะนอนพักค้างคืนกันตรงนี้
    เพราะว่าเป็นป่าที่ไม่ทึบนัก หลังจากทุกคนตั้งเต้นท์ ก่อไฟเรียบร้อย ก็กำลังจะเข้านอนด้วยความอ่อนล้านั้น อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่นอกเต้นท์ และก็มีหินปาเข้ามาที่เต้นท์
    ทุกคนก็เลยออกไปดู ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้น เป็นผู้หญิงเยอะมาก หลายคนเลยทีเดียว ยืนอยู่รอบเต้นท์ ห่างประมาณสักยี่สิบเมตรน่าจะได้ ลักษณะของผู้หญิงเหล่านั้น ทุกคนมีเลือดไหลออกมาจากหัวบ้าง ลำตัวบ้าง ซึ่งเป็นรูเหมือนโดนแทงด้วยเหล็กแหลม

    ตอนนั้นทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วว่า น่าจะเป็นผีปลาที่แทงกันเมื่อตอนเช้านั่นเอง อาจจะแปลงตัวมาในลักษณะของเจ้าป่าเจ้าเขา และอยู่ดีๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้นทุกคน ก็ยกมือชี้มาที่ทุกคนในเต้นท์
    ด้วยสายตาแววตาที่อาฆาต โกรธเกรี้ยวเหมือนกับจะฆ่ากันให้ตาย ทุกคนในกลุ่มต่างกลัว และก็ตกใจมากกับภาพที่เห็น เนื่องจากไฟที่ก่อเอาไว้ มันทำให้เห็นได้ชัดเจนพอสมควร
    ทุกคนกลัว ขนหัวลุก ยืนแข็งอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ได้ แล้วจู่ๆ ผู้หญิงกลุ่มนั้นก็หายวับไปกับตา แล้วทันใดนั้น ก็มีเสียงโขลงช้างตรงมาทางกลุ่มที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ ทุกคนก็เลยตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนี
    แต่ว่าเพื่อนคนที่วิ่งนำหน้านั้น เกิดสะดุดก่อนหินล้มลง ทำให้เพื่อนที่วิ่งตามาทีหลังนั้น ต้องหยุดช่วยกันประคอง แต่ว่าเสียงโขลงช้างที่วิ่งไล่หลังมานั้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนคิดว่าหนีไม่ทันแล้วแน่ๆ
    แล้วโขลงช้างก็วิ่งผ่านไป ซึ่งมันไม่ใช่ช้าง มันวิ่งผ่านทุกคนในกลุ่มไป โดยที่ไม่ได้ชน คล้ายภาพลวงตา แต่มันคืออะไร ทุกคนก็บอกไม่ได้ หลังจากที่ทุกคนได้สติ ก็พยุงกันกลับไปที่เต้นท์ นั่งกันอยู่จนเช้า

    พอตะวันขึ้นแล้ว เริ่มมีแสง ทุกคนก็รีบเก็บเต้นท์ พยายามออกจากป่าตรงจุดนั้นให้เร็วที่สุด เมื่อเดินทางมาถึงตรงจุดที่มีช้างเมื่อคืนนี้ ทุกคนก็ถึงกับหน้าซีด เพราะว่าเลยจุดที่เพื่อนลื่นล้มไปเพียงนิดเดียวนั้น มันคือหน้าผา
    ถ้าเกิดว่าเพื่อนคนที่วิ่งนำหน้าไม่ล้ม ทุกคนน่าจะวิ่งลงเหวไปหมดแล้ว ทุกคนพยายามเดินออกจากป่า แต่ก็เกิดหลงทาง ทั้งกลุ่มพยายามเดินหาทางออก จนเข้าช่วงบ่ายแล้ว ทุกคนจึงหยุดนั่งพัก
    เริ่มที่จะตระหนก เริ่มกลัว หิว และก็อ่อนล้าเป็นอย่างมาก แต่ว่าก่อนที่ทุกคนจะสติแตกนั้น ก็พอดี มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา ซึ่งคนในกลุ่มนั้นก็คือคุณพ่อและก็น้าของเพื่อน และก็นายพรานที่คุยกันตอนแรก
    ทุกคนนั้นดีใจมาก คุณพ่อของเพื่อนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า "เดินตามหามาห้าวันแล้ว กำลังจะกลับไปขอความช่วยเหลืออีก" ทุกคนก็งง พึ่งเข้ามาป่าแค่สี่วันเอง แล้วก็ถามต่อไปอีกว่า "ทำไมจึงได้ตามเข้ามา"

    คุณพ่อก็บอกว่า "ตอนที่ทุกคนกำลังเดินมุ่งหน้าเข้าป่า พ่อและน้าเห็นทุกคนไม่มีเงาหัว เห็นแค่เงาลางๆ พยายามตะโกนเรียกแล้ว แต่ทั้งกลุ่มก็ไม่ได้ยินกันเลย วิ่งตามก็ไม่ทัน ก็เลยไปขอร้องนายพรานให้ตามไปช่วย พรานก็ได้เตือนแล้วว่า ช่วงนี้ป่ามันปิด เค้าห้ามล่าสัตว์ เพราะจะมีวิญญาณ สิงอยู่ในสัตว์
หรือไม่ก็อาจจะโดนบัง จนหาทางออกจากป่าไม่ได้" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด







# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณเจ็ค The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากShock 6,666,666

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | ยายไอ้แผน



ยายไอ้แผน

     เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณแผนกับคุณโพธิ์เป็นพี่น้องกัน ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ไม่ว่าจะไปปักเบ็ด ดักหนูที่ทุ่งนา บ้านของทั้งสองคนจะอยู่ติดเขา

    คุณพ่อคุณแม่ของคุณแผนกับคุณโพธิ์จะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะต้องไปเฝ้าไร่ที่อยู่ติดกับชายเขา คอยไล่พวกสัตว์ป่าที่ลงมากินพืชผล ปล่อยให้คุณแผนกับคุณโพธิ์อยู่กับคุณยาย
    ปกติคุณลพเป็นคนชอบปักเบ็ดหาปลา จึงมักจะไปกับคุณแผนกับคุณโพธิ์อยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแผนได้ไปเหยียบหอย จนเลือดไหลนองเต็มเท้า จึงช่วยกันพยุงกลับมาบ้าน
    คุณโพธิ์อาสาจะไปซื้อยามาล้างแผล แล้วให้คุณลพอยู่เป็นเพื่อนคุณแผน พอคุณโพธิ์ออกไปได้สักพัก คุณแผนก็นอนหลับไป ส่วนคุณลพก็จัดการเอาผ้าพันแผลห้ามเลือดไว้ก่อน

    แต่อยู่ๆ คุณยายที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ข้างๆ ก็กระโดดลุกขึ้นนั่งยองๆ แล้วพูดว่า "เป็นอะไร ไปไหนกันมา" ทำให้คุณลพตกใจมาก เพราะปกติ คุณยายจะเป็นอํามพฤกอัมพาต นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ พูดจาไม่ได้ ตัวผอม ผมขาวไปทั้งศีรษะ
    คุณลพก็ตอบกลับไปว่า "แผนโดนหอยบาดครับ ผมห้ามเลือดให้อยู่" แล้วคุณยายก็กวักมือเรียกพร้อมกับพูดว่า "ไอ้หนูมานี่ซิ" คุณลพจึงลุกขึ้นเดินไปหาคุณยายด้วยอาการงงๆ
    แล้วคุณยายก็บอกให้คุณลพขึ้นมานั่งใกล้ๆ คุณลพก็ไปนั่งข้างๆอยู่ยาย แต่อยู่ๆคุณยายก็ผลักตัวคุณลพจนล้มลง แล้วก็ไล่คุณลพเสียงดังว่า "ไป!! เอ็งอะไป ร้อน อยู่แล้วร้อน ไป!!"
    ทำให้คุณลพรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ จึงตอบกลับไปว่า "เดี๋ยวรอให้โพธิ์มันกลับมาก่อนได้มั้ยครับ จะได้อยู่ห้ามเลือดให้ไอ้แผนมันก่อน" คุณยายไม่ฟัง เอาแต่ตะโกนไล่คุณลพอย่างเดียว "ไปเลย เอ็งอะไป ออกจากบ้านข้าไปเลย"
    คุณลพได้แต่คิดว่าตนเองทำอะไรผิด หรือเพราะว่าพาคุณแผนไปเที่ยวกันจนได้รับบาดเจ็บ สักพักคุณโพธิ์ก็วิ่งกลับมา แต่อยู่ๆคุณยายก็ล้มตัวลงนอนทันที เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณลพจึงบอกกับคุณโพธิ์ว่า

คุณลพ : เฮ้ยโพธิ์ ข้ากลับก่อนนะ
คุณโพธิ์ : เฮ้ยเอ็งจะรีบไปไหน อยู่ด้วยกันก่อนดิ ช่วยกันทำแผลก่อน
คุณลพ : ยายเอ็งไล่ข้า
คุณโพธิ์ : จะบ้าเรอะ ยายข้าพูดไม่ได้จะเป็นปีสองปีแล้ว
คุณลพ : ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งแล้วไล่ข้า จริงๆ
คุณโพธิ์ : โกหกเหรอวะ จะเป็นไปได้ยังไง ทุกวันนี้กุยังต้องป้อนข้าวเช็ดตัวให้อยู่เลย
คุณลพ : จริงๆ ยายเอ็งลุกขึ้นมานั่งยองๆ แล้วผลักข้า
คุณโพธิ์ : เออๆ ถ้าจะไปก็ไป

    คุณลพก็เลยเดินกลับบ้าน หลังจากวันนั้นคุณแผนก็มาโรงเรียนไม่ได้ ส่วนคุณโพธิ์ก็ต้องอยู่ดูแลคุณแผน จนผ่านมาสองวัน คุณโพธิ์มาบอกกับคุณลพว่า "ลพ ไปนอนเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย"
    คุณลพก็ตอบแบบเคืองๆว่า "แล้วยายเอ็งจะไม่ด่าข้าเหรอวะ" คุณโพธิ์ตอบกลับมาว่า "จะด่าได้ยังไง ยายข้าพูดไม่ได้" คุณลพเถียงกลับไปว่า "พูดได้จริงๆ" แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง คุณโพธิ์ก็ไม่เชื่อ แต่สุดท้ายคุณลพก็ยอมตามคุณโพธิ์กลับไป
    ลักษณะจะเป็นบ้านไม้สองระดับ คุณยายจะนอนอยู่ชั้นล่าง ส่วนคุณลพและคนอื่นๆจะนอนตรงพื้นยกระดับสูงขึ้นมาหน่อย ช่วงหัวค่ำ คุณลพก็นั่งมองคุณโพธิ์ที่กำลังป้อนข้าวเช็ดตัวให้คุณยาย ซึ่งดูแล้วมันขัดใจคุณลพมาก เพราะหลายวันก่อน คุณยายยังกระโดดลุกขึ้นนั่ง ไล่คุณลพอยู่เลย

    จนตกดึกก็ได้เข้านอน คุณแผนจะนอนริมสุด คุณโพธิ์จะนอนตรงกลาง ส่วนคุณลพนอนอีกริมหนึ่ง คุณลพรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียง "คลืดด..พรืดด" เสียงมันมาจากทางมุ้งของคุณยาย
    คุณลพจึงผงกหัวขึ้นมาดู ภายในบ้านค่อนข้างมืด เห็นเพียงมุ้งสีขาวๆลางๆ ปลิวเป็นคลื่นเบาๆเพราะแรงลม แต่พอคุณลพลองเพ่งมองดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นคุณยายกำลังคลานออกมาจากมุ้ง

    ลักษณะคลานสี่ขา จนไปถึงหัวบันไดหน้าบ้าน แล้วอยู่ๆคุณยายก็กระโดดพรวดลงไปข้างล่าง คุณลพที่เห็นแบบนี้ก็รู้สึกตกใจปนสยอง รีบหันไปเขย่าคุณโพธิ์ที่นอนอยู่ข้างๆ ปากก็พยายามพูดให้เสียงลอดออกมาเบาๆ แต่ให้ชัดเจนที่สุด เพราะกลัวว่าคุณยายจะได้ยิน "ไอ้โพธิ์ ตื่นก่อนเร็ว ยายเอ็งกระโดดลงจากบ้านว่ะ"
    แต่ไม่ว่าจะเขย่าแรงแค่ไหน คุณโพธิ์ก็เหมือนว่าจะไม่รู้สึกตัว จนคุณลพไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยล้มตัวลงนอน พยายามเพ่งมองไปที่ประตูหน้าบ้าน ระวังตัวแจ เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ จะได้รีบมือได้ทันท่วงที

    จนผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ คุณลพทนความสงสัยที่เล้าหลืออยู่ในใจไม่ไหว จึงได้คลานออกจากมุ้งไปดูที่หน้าประตู มองลงไปที่ล่างบันได ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า บริเวณด้านล่างและรอบๆของบ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืด จนยากที่จะสังเกตอะไรได้
    คุณลพจึงหันกลับแล้วเดินเข้ามุ้ง จังหวะนั้นหางตาก็เหลือบไปที่มุ้งของคุณยาย ปรากฏว่าเห็นคุณยายนอนขดเอาผ้าคลุมหัวอยู่ในมุ้ง เหมือนกับว่ายังไม่ได้ลุกออกไปไหน คุณลพยืนงงอยู่กับที่ ในหัวตีกันจนมั่วซั่ว แล้วสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้มันคืออะไร

    ในระหว่างนั้น คุณลพสังเกตเห็นว่าคุณยายค่อยๆดึงเอาผ้าที่คลุมหัวอยู่ ลงทีละนิดๆ จนทำให้คุณลพเห็นใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ในความมืด แล้วคุณยายก็ดึงผ้าขึ้นคลุมใบหน้าตามเดิม
    คุณลพยืนตัวชา งงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุณยายทำไมถึงทำอะไรแปลกๆแบบนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ คุณยายก็ดึงผ้าที่คลุมใบหน้าลงมา เหมือนพยายามจะแอบดูคุณลพ สายตาที่จ้องมองมา ทำให้รู้สึกเย็นวูบวาบ จนมือไม้กระตุกเป็นช่วงๆ
    คุณลพคิดว่ายืนอยู่แบบนี้คงไม่ดีแน่ จึงพยายามลากขาทั้งสองข้างกลับเข้ามุ้งตามเดิม พยายามข่มตาให้หลับ ระหว่างนั้นก็มีเสียง 'ก๊อกๆแก๊กๆ" อยู่แถวๆนอกมุ้ง แต่คุณลพคิดในใจว่ายังไงก็จะไม่ลืมตาขึ้นมาดูเด็ดขาด จนเผลอหลับไป

    รุ่งเช้า คุณลพรีบเล่าเหตุการณ์ให้คุณโพธิ์ฟังทันที แต่คุณโพธิ์ก็ยังเถียงขาดใจ จนคืนที่สอง หลังจากที่นกกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้อง คุณลพก็เห็นคุณยายค่อยๆคลานออกมาจากมุ้ง แต่คราวนี้กลับคลานเข้ามาในมุ้งของคุณลพ
    คุณลพเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่าผวาจนตัวเกร็ง อยากจะลุกออกวิ่งไปจากที่นี่ แต่ก็ขยับตัวไปไหนไม่ได้ เพราะความกลัวมันบังคับให้นอนอยู่นิ่งๆ คุณยายค่อยๆคลานไปทางคุณแผน แล้วก้มหัวลงเลียแผลที่เท้าของคุณแผน
    คุณลพทนมองภาพที่น่าขนลุกแบบนี้ไม่ไหว พยายามสะกิดคุณโพธิ์ แต่ก็ไม่เป็นผลอีกเหมือนเดิม ทั้งๆที่อากาศหนาวเย็นจนตัวแทบสั่น แต่เหงื่อกาฬกับผุดออกมาเป็นเม็ดๆจนทั่วตัวของคุณลพ
    คุณลพไม่มีทางเลือก ได้แต่นอนตัวสั่นฟังเสีบงดูดเลียดัง "แจ๊บๆๆ" อยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วคุณยายก็คลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม มีเสียงเบาๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากในมุ้งว่า "อึ้ม อร่อยดีนะ" คุณลพได้ยินเช่นนั้นก็แทบอยากจะร้องไห้ จนรุ่งเช้ามา คุณโพธิ์บ่นว่า


คุณโพธิ์ : ทำไมข้ารู้เจ็บแขนจังวะ
คุณลพ : ข้าหยิกแขนเอ็งเมื่อคืนเนี้ย ไม่รู้เรื่องเลยหรอ
คุณโพธิ์ : ไม่รู้อ่ะ แล้วเอ็งหยิกข้าทำไม
คุณลพ : ข้าเห็นยายเอ็งมาเลียแผลไอ้แผน

    คุณโพธิ์ก็รู้สึกโมโห เพราะคิดว่าคุณลพพูดจาใส่ร้ายคุณยาย แต่ปรากฏว่าแผลของคุณแผนบวมเป่ง เขียวช้ำไปทั้งขา เอาแต่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด คุณลพก็คิดว่าคงไม่นอนที่นี่ต่อแล้ว เพราะไม่อยากเจอภาพที่น่าขนลุกเหมือนคืนก่อนๆ ประกอบกับที่คุณแผนเอาแต่นอนร้องครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา
    คุณลพจึงบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่สวน แต่คุณโพธิ์บอกว่าไปไม่ได้ เพราะต้องดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำคุณยาย จนเข้าคืนที่สาม คุณแผนเอาแต่นอนร้องด้วยความเจ็บปวด
    คุณลพจึงตัดสินใจบอกให้คุณโพธิ์ไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่ แล้วเดี๋ยวคุณลพจะอยู่เฝ้าให้เอง ส่วยคุณยายเดี๋ยวจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้ คุณโพธิ์จึงรีบออกไปตามคุณพ่อคุณแม่ที่ไร่

    พอคุณโพธิ์ออกไปได้สักพัก คุณลพก็วิ่งกลับบ้านทันที เพื่อที่จะไปตามคุณพ่อมาอยู่เป็นเพื่อนก่อน แต่เวลานั้นคุณพ่อไม่อยู่บ้านพอดี จึงวิ่งกลับมาดูคุณแผน ตอนนั้นคุณโพธิ์ก็ยังไม่กลับมาสักที
    คุณลพจึงเข้าไปนอนคลุมโปงอยู่ในมุ้ง จนเวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง คุณโพธิ์ก็ยังไม่กลับมา แต่จังหวะนั้นคุณลพได้ยินเสียงคุณแผนร้อง "แค๊กๆ อ๊อคๆ" เหมือนถูกอะไรบางอย่างบีบคอจนหายใจไม่ออก
    คุณลพจึงแง้มผ้าห่มดู ปรากฏว่าเห็นคุณยายนั่งยองๆอยู่บนหน้าอกของคุณแผน แต่ที่ทำให้คุณลพตกใจกลัวจนแทบหยุดหายใจก็คือ คุณยายใช้มือช้อนศีรษะของคุณแผนให้โน้มขึ้นมา แล้วใช้ลิ้นที่ยาวจนผิดปกติ แยงเข้าไปในปากของคุณแผน
    คุณลพไม่กล้าที่จะมองภาพอันน่าสยดสยองนี้ต่อ และกลัวเกินกว่าที่จะขยับตัววิ่งหนี จึงได้แต่นอนตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าห้ม เสียงของคุณแผนร้องเหมือนคนกำลังสำลักน้ำอยู่สักพักก็เงียบไป แต่ก็ยังได้ยินเสียง "สวบสาบ" อยู่ข้างๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังขยับเขยื่อนอยู่ ไม่กี่อึดใจต่อมา คุณลพได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมา
    จึงได้เปิดผ้าห้มออก เห็นคุณยายรีบคลานกลับเข้าไปนอนในมุ้งตามเดิม แล้วคุณโพธิ์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ก็มาถึง คุณลพรีบเล่าเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง แต่กลับไม่มีใครเชื่อ หาว่าคุณลพเพ้อเจ้อ

    คุณพ่อจึงได้เข้าไปเขย่าตัวคุณแผน แต่ตอนนั้นคุณแผนได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการเอาศพไปชันสูตรดู ผลออกมาว่าขาดอากาศหายใจ ทุกคนต่างเค้นถามคุณลพถึงการตายของคุณแผน แต่คุณลพก็เล่าไปตามที่ตนเองเห็นมา แต่กลับไม่มีใครเชื่อ
    ผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณลพเล่า แต่ทุกคนต่างก็เริ่มจับพิรุธ ทุกๆคืน คุณพ่อของคุณโพธิ์แทบจะไม่ได้นอน เพราะต้องอยู่ดูพฤติกรรมของคุณยาย
    ปรากฏว่าเห็นอย่างที่คุณลพเล่ามาจริงๆ กลางดึกของคืนหนึ่ง คุณพ่อเห็นคุณยายคลานออกจากมุ้ง แล้วกระโดดออกจากบ้าน เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน จึงได้ไปปรึกษาพระที่วัด ท่านก็บอกว่าคุณยายน่าจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่มีอย่างอื่นแฝงอยู่
    พอรู้แบบนั้น จึงได้พาหมอที่แก้คุณไสยมาดูคุณยายที่บ้าน หมอใช้ว่านชนิดหนึ่ง แตะลงที่ตัวของคุณยาย ปรากฏว่าคุณยายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หมอก็พูดขึ้นมาว่า "ต้องตัดกรรมนะ ถ้าไม่ตัดกรรมก็ไม่ตายสักที แล้วนี่ไปกินลูกหลานของคนอื่นมันบาปกรรมมากนะ"
    

หมอจึงได้ทำพิธีตัดกรรม พอจบพิธี คุณยายก็เสียชีวิตลงทันที ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเหมือนกับศพที่ตายมาแล้วเป็นเวลาหลายวัน คุณโพธิ์เคยถามคุณลพในเรื่องที่คุณลพเคยโดนคุณยายผลักจนล้ม คุณลพจึงเล่าว่า ตอนนั้นคุณยายคงคิดจะกินคุณลพ ถึงได้เรียกให้ไปนั่งใกล้ๆ แต่ว่าในตัวคุณลพมีตะกรุดหลวงพ่อเงินอยู่ คุณยายจึงรู้สึกร้อน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณลพ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | เพื่อนข้างบ้าน



เพื่อนข้างบ้าน

 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวคู้บอน เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา คุณหนุ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงต่างๆ เป็นอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่ง ปลูกติดกันทั้งหมดเจ็ดหลัง คุณหนุ่มจะอยู่หลังท้ายสุด ถัดออกไปอีกจะเป็นบ้านเดี่ยวยกสูง
    คุณหนุ่มเปิดธุรกิจนี้ให้แฟนกับน้าสาวของแฟนดูแล เพราะคุณหนุ่มต้องทำงานกับคุณพ่อ จึงไม่ค่อยได้มีเวลาดูแล แต่ก็ยังคงอาศัยหลับนอนอยู่ที่อาคารพาณิชย์แห่งนี้ จนอยู่ได้ประมาณสองถึงสามปี ก็เริ่มรู้จักเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
    ส่วนบ้านเดี่ยวด้านข้าง มีอาชีพเป็นโปรกอล์ฟ ทั้งสามีและภรรยา มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นานๆทีภรรยาถึงจะพาลูกมาเที่ยวหาที่บ้าน ช่วงเย็นของทุกวัน พี่ผู้ชายผู้เป็นสามี จะเดินออกมาทานข้าวที่หน้าบ้านเป็นประจำ

    มีอยู่วันนึง คุณหนุ่มนั่งทำงานอยู่ในห้องบนชั้นสอง เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แฟนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง แล้วบอกว่า "เฮียๆ ใครไม่รู้มาเคาะประตูบนดาดฟ้า" ซึ่งดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนี้ จะเชื่อมหากันทุกหลัง
    คุณหนุ่มบอกกลับไปว่า "เสียงลมหรือเปล่า ลมมันแรง" แฟนก็แย้งว่า "ไม่ใช่เสียงลม มันเป็นเสียงเคาะประตู" คุณหนุ่มจึงลุกเดินขึ้นไปดู ไปยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นดาดฟ้า ก็ได้ยินว่ามันมีเสียงเคาะจริงๆ "ก๊อกๆๆ"
    คุณหนุ่มรู้สึกแปลกใจมาก จึงได้เดินไปหยิบอาวุธออกมาเพื่อป้องกันตัว คุณหนุ่มบิดลูกบิดประตู แล้วผลักมันออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏใครอยู่หลังประตู มีเพียงความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดาดฟ้า
    คุณหนุ่มเดินขึ้นไป แล้วใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆบริเวณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินกลับลงมา แล้วล็อคประตูตามเดิม แต่แฟนค่อนข้างวิตก เพราะกลัวว่าจะเป็นขโมย
    แต่ยังไม่ทันที่คุณหนุ่มจะเดินกลับลงไป เสียงเคาะมันก็ดังขึ้นอีก "ก๊อกๆๆ" คุณหนุ่มหยุดชะงักทันที ส่วนแฟนก็วิ่งหนีลงไปข้างล่าง คุณหนุ่มคิดในใจว่าถ้าเคาะอีกทีจะเปิดออกไปดูว่าเป็นใครกันแน่

    สักพักเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้ง คุณหนุ่มไม่รอให้สิ้นเสียง รีบเปิดพรวดออกไปทันที แล้วกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ ก็มีเพียงแค่ความมืด คุณหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าคงจะไม่ใช่คน อาจจะเป็นเจ้าที่มาเตือน
    เพราะอาคารพาณิชย์แห่งนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่มีศาลพระภูมิ และภายในบ้านก็ยังไม่มีพระ แต่คุณหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด จึงปิดประตู แล้วเดินลงมาข้างล่าง เสียงเคาะยังคงดังอยู่ในขณะที่คุณหนุ่มกำลังเดินลง
    คุณหนุ่มบอกกับแฟนว่า "ไม่ต้องคิดมาก ถ้าเกิดได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ" แฟนก็ถามปากสั่นๆว่า "เมื่อก่อนไม่เห็นได้ยินอะไรเลย แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงเป็นแบบนี้" คุณหนุ่มก็บอกกับแฟนว่า "คิดแบบนี้ละกัน ที่นี่เป็นอาคารสร้างใหม่ เราพึ่งมาอยู่ใหม่ ศาลพระภูมิก็ไม่มี พระก็ไม่มี เค้าเลยอาจจะมาเตือน"
    จนเวลาผ่านมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ เสียงเคาะยังคงดังทุกวัน ในช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงตีสอง จนแฟนนอนไม่หลับ ต้องรอให้คุณหนุ่มกลับเข้าบ้านก่อน

    มีอยู่วันหนึ่ง แฟนตึ่นมากลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ จึงเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าแฟนร้องกรี้ดจนลั่นบ้าน วิ่งเตลิดเข้ามาหาคุณหนุ่ม พูดปากสั่นๆว่า "ผีหลอกๆๆ"
    คุณหนุ่มพยายามปลอบแฟนแล้วถามว่า "ตาฝาดหรือเปล่า" แต่แฟนเอาแต่ร้องไห้เหมือนคนสติแตก คุณหนุ่มจึงถามว่า "เป็นอะไร" สักพักแฟนก็บอกว่า เห็นผู้ชายไม่มีหัว ยืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นดาดฟ้า ซึ่งบันไดจะอยู่ถัดจากห้องน้ำไปประมาณสี่เมตร
    คุณหนุ่มเดินออกไปเปิดไฟดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ จนแฟนทำธุระเสร็จ แล้วกลับมานอน แฟนบอกกับคุณหนุ่มว่า ต่อไปนี้ ถ้าเกิดว่าจะเข้าห้องน้ำ ให้ไปเป็นเพื่อนหน่อย เพราะว่ากลัวมาก รุ่งเช้า คุณหนุ่มจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวจะหาพระมาให้

    เย็นวันหนึ่ง ช่วงเวลาประมาณห้าโมงกว่า คุณหนุ่มกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นพี่ผู้ชายที่อยู่บ้านข้างๆ นั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านข้าวหน้าบ้าน ซึ่งพักหลังๆ มักจะเห็นพี่ผู้ชายทำหน้าเศร้าหมองตลอดเวลา ดูดบุหรี่จัด เหมือนคนมีความทุกข์หนัก
    คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งคุยด้วย "พี่เป็นไร ทำไมดูเครียดจัง ดูหน้าหมองๆ" พี่ผู้ชายตอบกลับมาสั้นๆว่า "ไม่มีอะไร" จากนั้นก็เดินกลับเข้าบ้านไป คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งทำงานในบ้านปกติ
    จนเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ก็ได้ยินเสียงคนกดออดหน้าบ้านหลังข้างๆ คุณหนุ่มจึงลุกขึ้นไปดู เห็นว่ามีผู้ชายสี่คนยืนอยู่หน้าบ้าน หนึ่งในนั้นถามคุณหนุ่มว่า "น้อง เจ้าของบ้านเนี่ยอยู่มั้ย วันนี้วันเกิดมัน เลยจะมาเยี่ยม"
    คุณหนุ่มจึงตอบว่า "อยู่ดิ เมื่อกี้พึ่งกินข้าว แล้วเดินเข้าบ้านไป" เพื่อนของพี่ผู้ชายก็พูดต่อว่า "เนี่ย กดออดเรียกตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครมาเปิดให้เลย ในบ้านก็เห็นเปิดไฟไว้อยู่"
    คุณหนุ่มถามว่า "แล้วได้โทรนัดเค้าหรือเปล่า" ก็ได้รับคำตอบว่า "เพิ่งวางหูไปเมื่อกี้เนี่ย โทรคุยกันอยู่เนี่ย" จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เพื่อนทั้งสี่คนก็เริ่มแปลกใจ
    จึงได้โทรไปหาภรรยาของพี่ผู้ชาย สักพักภรรยาก็ขับรถมาเปิดประตูให้ เพราะว่าบ้านของภรรยาอยู่ไม่ไกลมากนัก ทุกคนจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ภายในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นของอะไรบางอย่างที่เหม็นมาก ปรากฏว่าไปเห็นพี่ผู้ชายผูกคอตายอยู่ในบ้าน
    ลักษณะเอาเชือกผูกกับที่จับประตูตู้เสื้อผ้า แล้วนั่งยองๆตาย หลังจากที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน และพบศพอีกศพหนึ่ง นอนอยู่ข้างๆ ถูกยัดไว้ในถุงขยะสีดำ พันด้วยสก็อตเทป ไม่มีศีรษะ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบวัน

    ตำรวจจึงช่วยกันหาศีรษะที่หายไป ค้นจนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ คุณหนุ่มเริ่มเอะใจ นึกย้อนไปถึงคืนนั้น ที่แฟนบอกว่าเห็นผู้ชายศีรษะขาด หรือว่าแฟนจะเห็นเข้ากับผู้ชายคนนี้ พอคิดได้เช่นนั้น จึงรีบวิ่งขึ้นไปดูบนดาดฟ้า ช่วงเวลากำลังโพ้เพ้ คุณหนุ่มคิดในใจว่าคงไม่ใช่แน่ ศีรษะจะมาอยู่บนดาดฟ้านี้ได้ยังไง
    พยายามใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆดาดฟ้า จนไปเจอเข้ากับถุงดำน่าสงสัยใบหนึ่ง คุณหนุ่มรู้สึกใจหายวูบ ค่อยๆหยิบถุงใบนั้นขึ้นมาเปิดดูช้าๆ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงพุ่งทะลักออกมาจากถุง ทำให้นึกภาพออกทันทีว่าภายในถุงใบนี้มีอะไรอยู่ โดยที่ไม่ต้องเปิดดู
    คุณหนุ่มวางถุงลงกับพื้น ด้วยใจที่เต้นรัว แล้วเดินกลับลงไปข้างล่าง เพื่อที่จะตามให้ตำรวจขึ้นมาดู ในขณะนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เหมือนมีไอเย็นทาบลงที่แผ่นหลัง จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว ภายในใจของคุณหนุ่มมีแต่ความสับสนงุนงง พยายามคิดหาคำตอบ ว่าพี่ผู้ชายจะโยนศีรษะของคนๆนี้ ขึ้นมาบนดาดฟ้าหลังนี้ทำไม

    หลังจากที่ตำรวจเรียกสอบปากคำทุกฝ่ายเสร็จแล้ว ก็ได้ความว่า พี่ผู้ชายบ้านข้างๆเล่นพนันบอล จนเสียเงินไปหกล้านบาท ส่วนศพที่นอนอยู่ข้างๆ คือคนที่มาทวงหนี้ ตำรวจเข้าไปพบมีดยาวเปื้อนเลือดอยู่ในห้องน้ำหนึ่งเล่ม จึงสันนิษฐานว่าพี่ผู้ชายใช้ดาบเล่มนี้ฟันคนทวงหนี้จนศีรษะขาด

    หลังจากที่ตำรวจเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ปิดบ้านหลังนี้ไว้ห้ามใครเข้า แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง ทุกคนที่อยู่บ้านระแวกนั้น รวมทั้งคุณหนุ่ม เห็นว่าไฟในบ้านหลังนั้นถูกเปิดขึ้น และเห็นพี่ผู้ชายเดินไปเดินมาภายในบ้าน
    เป็นแบบนี้อยู่สามวัน จนภรรยาต้องให้การไฟฟ้าเอาสวิทช์ไฟของบ้านหลังนี้ออก และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหนุ่ม The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | เรื่อง เขื่อนประตูผี



เขื่อนประตูผี

     เป็นประสบการณ์ที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแถวย่านพุทธมณฑล เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านของรุ่นพี่ จะอยู่ข้างๆกับหมู่บ้านนึง หมู่บ้านนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ เพราะสร้างเสร็จแล้วจะขาย แต่ก็ขายไม่ได้
    ส่วนทางเข้าหมู่บ้านจะลึก และเปลี่ยวมาก แท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซค์จะไม่กล้าเข้าไป บ้านของรุ่นพี่จะต้องใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้านนี้ แล้วอ้อมไปข้างๆหมู่บ้าน ก็จะเป็นสวน แล้วต้องผ่านสวนเข้าไป จึงจะถึงบ้าน
    แต่เพราะรุ่นพี่ไม่กล้าใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ก็ใช้วิธีพายเรือข้ามฝากไป จากถนนใหญ่ข้างนอก ที่สามารถพายเรือไปถึงบ้านได้ เลยลงไปทางหมู่บ้านนิดหน่อย จะมีเขื่อนที่เรียกกันว่าประตูผี จะเป็นทางน้ำหักศอก ตรงประตูเขื่อน น้ำจะวนอยู่กับที่ แล้วดูดลงไปข้างล่าง

    ตอนนั้นรุ่นพี่เลิกงานกลับมาถึง ก็เห็นพวกกู้ภัยมากันหลายคัน ก็คิดว่าสงสัยจะมีคนตายอีกแล้ว รุ่นพี่จึงเดินเข้าไปถาม "พี่ มีคนตายหรอ" กู้ภัยบอกว่า "ใช่ เรือถูกน้ำดูด เรือไปกระแทกกับประตูเขื่อนแตก" แล้วกู้ภัยที่จะลงไปช่วย ต้องใช้เชือกสองเส้นใหญ่ๆ เพราะน้ำตรงนั้นจะดูดแรงมาก
    ศพไปจมอยู่ใต้ประตูเขื่อน เพราะน้ำไม่พัดขึ้นมา แต่จะม้วนวนอยู่ข้างล่างตลอด และนี่ก็ไม่ใช่รายแลก หลายรายที่เอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้ เพราะมันเป็นทางหักศอก ถ้าหลุดเข้าไปแม้แต่นิดเดียว น้ำจะดึงเข้าไปตีกับประตูเขื่อน แตกหมดทุกลำ จึงได้มีคนออกมาเตือนว่า เวลาน้ำขึ้น ห้ามพายเรือไปตรงนั้น

    มีอยู่วันนึง ตอนที่รุ่นพี่เลิกงาน ก็ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วกลับมาดึก ตอนเช้าของวันนั้น คุณน้าได้กำชับกับรุ่นพี่ว่า "วันนี้อย่ากลับดึกนะ เพราะมันเพิ่งมีคนตายใหม่ๆ แล้วไม่รู้ว่าไอ้เขื่อนตรงนั้น มันจะเอาอีกสักกี่คน ถึงจะพอ"
    พอรุ่นพี่เดินมาถึงที่เรือ ก็ปลดเชือกผูกเรือ แล้วก็พายเรือกลับ ช่วงที่ผ่านสวนมะพร้าว ก็ได้ยินเสียงคนพายเรือตามมาจากข้างหลัง รุ่นพี่ก็อุ่นใจที่มีเพื่อนร่วมทาง พอจังหวะที่รุ่นพี่ยกไม้พายขึ้นมาบนเรือ เสียงพายเรือข้างหลังก็เงียบ
    พอเอาไม้พายจ้วงลงน้ำแล้วพาย ก็ได้ยินเสียงพายเรือมาจากข้างหลังเหมือนกัน รุ่นพี่ก็เอะใจ แต่ก็ยังไม่หันไปดู จึงพายเรือจนเลยสวนมะพร้าวไป อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงบ้าน
    รุ่นพี่จึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บนโลงศพ แล้วใช้มือที่ใหญ่กว่าคนปกติประมาณสิบเท่าทั้งสองข้าง กวักลงน้ำ ค่อยๆพายโลงศพไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม"
    รุ่นพี่มองตาเหลือก ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณน้าของรุ่นพี่ ที่ยืนรออยู่ตรงศาลาท่าน้ำ รีบกระโดดลงน้ำ แล้วลากเอาเรือของรุ่นพี่เข้าเทียบศาลา แล้วรีบลากแขนรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับพูดว่า "อย่าหันไปมอง เอ็งรีบขึ้นบ้านก่อน"
    คุณน้าลากรุ่นพี่เข้าไปในห้องพระ แล้วยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็นั่งกอดพระพุทธรูปตัวสั่นปากสั่น สักพักก็เริ่มสงบสติได้ จึงได้ถามคุณน้า แต่คุณน้าตอบกลับมาว่า "เอ็งไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปวัดด้วยกัน" คืนนั้นรุ่นพี่นอนกอดพระพุทธรูปตัวสั่นทั้งคืน ส่วนคุณน้าก็นั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน

    เช้ามา คุณน้าก็ได้พารุ่นพี่ไปวัด หลวงพ่อท่านบอกว่า "ต้องให้มันอยู่ในโบสถ์สามวัน ไม่งั้นคงไม่รอด" รุ่งพี่จึงได้เข้าไปอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็เอาสายสินญ์มาพันไว้รอบๆโบสถ์ แล้วขึงด้านในไว้อีกหนึ่งชั้น
    แล้วคุณน้าก็กำชับว่า "ให้ทำตามที่หลวงพ่อบอก ถ้ายังไม่อยากตาย" แล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า "ถ้าเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร อย่าออกนอกสายสินญ์ อย่าออกนอกประตูโบสถ์ อยู่ในเสมาของโบสถ์ เดี๋ยวจะให้พระกับเณรมาเฝ้า"
    แม้แต่ช่วงกลางวัน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมานอกโบสถ์ ถ้าปวดก็ให้ใช้กระโถนไปก่อน ตกกลางคืน ประมาณสามทุ่ม รุ่นพี่ได้ยินเสียงคนพายเรือ อยู่หน้าท่าน้ำวัด "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" สักพักก็เงียบ อีกสักพักเสียงก็มาอีก
    เณรที่มาเฝ้า ต่างเอาจีวรคลุมโปงแล้วนอนกอดกันตัวสั่น รุ่นพี่จึงบอกกันเณรว่า "เณร ลองเปิดหน้าต่างโบสถ์แล้วดูที่ท่าน้ำหน่อย ใครพายเรืออยู่อ่ะ" เณรตอบว่า "ไม่กล้าดูหรอก ผมก็กลัว"

    จนเข้าคืนวันที่สาม เป็นวันพระใหญ่พอดี วันนี้มีทั้งพระและเณรมาอยู่เป็นเพื่อนหลายรูป แต่วันนี้ รุ่นพี่ขอให้เปิดประตูโบสถ์เอาไว้ เพราะอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่พายเรืออยู่ที่ท่าน้ำวัด
    เวลาประมาณห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงพายเรือเหมือนเดิม "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" รุ่นพี่จึงหันไปมองที่ท่าน้ำวัด ปรากฏว่าเห็นหัวคน ค่อยๆโผล่ขึ้นมาที่ท่าน้ำ ลักษณะคอยาวๆ หน้าตอบๆซีดๆ ดวงตากลวงโบ๋ แสยะยิ้มให้รุ่นพี่
    แล้วเสียงพายก็ยังดังอยู่ตลอด "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" จนรุ่นพี่ช็อคนั่นตัวแข็งอยู่กลางโบสถ์ พระกับเณรรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง แล้วรีบไปอยู่รวมกันที่กลางโบสถ์ เณรตะโกนลั่นโบสถ์ว่า "ช่วยด้วยๆๆ"
    จนหลวงพ่อกับสัปเหร่อได้ยินเข้า จึงรีบวิ่งมาหา ก็เห็นทั้งพระทั้งเณรแล้วก็รุ่นพี่ นั่งกอดกันกลมอยู่กลางโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "คืนนี้เอ็งพ้นแล้วหละ เค้าไปเอาคนอื่นแล้ว"

    รุ่นเช้าของวันถัดมา คุณน้าก็ได้มาหารุ่นพี่ที่วัด แล้วบอกว่า "มีผู้หญิง ตายอยู่หน้าประตูเขื่อนเมื่อคืน" จากนั้นหลวงพ่อก็ทำพิธีเรียกขวัญ รดน้ำมนต์ให้ทั้งเณรทั้งพระแล้วก็รุ่นพี่
    คุณน้าบอกว่า "คนที่ตาย เป็นลูกสาวของคนรู้จัก ไปพายเรืออีท่าไหนไม่รู้ โดนน้ำม่วนลงไป ศพไปติดอยู่ตรงหน้าประตู" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณบอย The shock
-Story by The Shock Radio FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - แอบตายที่ใต้เตียง



แอบตายที่ใต้เตียง

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง และได้เช่าหออยู่แถวๆมหาลัย ห้องของคุณหนึ่งจะอยู่ที่ชั้นห้า คุณหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวจนขึ้นปีสอง
    ก็ได้รู้จักกับเพื่อนคนนึง ชื่อคุณบอย เป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากที่คุณหนึ่งเริ่มสนิทกับคุณบอย จนเรียกได้ว่าซี้กันมาก จึงได้ชวนคุณบอยย้ายมาอยู่หอพักด้วย เพราะจะได้ช่วยกันหารค่าห้อง
    หลังจากที่คุณบอยย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณบอยก็มีแฟน และได้พาแฟนเข้ามาอยู่ด้วย ด้วยความที่คุณหนึ่งคิดว่าคุณบอยคงอยากจะอยู่กับแฟนแบบส่วนตัว คุณหนึ่งจึงได้ย้ายหอไปอยู่อีกซอยนึง

    หลังจากนั้นประมาณสี่เดือน คุณบอยกับแฟนก็เริ่มทะเลาะกัน โดยที่ฝ่ายหญิงคิดว่าคุณบอยแอบไปมีคนอื่น จนทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน ปรากฏว่าแฟนของคุณบอยคิดสั้นกระโดดตึกเสียชีวิต ในเวลาประมาณเที่ยงคืน ตอนที่คุนบอยกำลังหลับอยู่
    จนเช้าวันต่อมา คุณหนึ่งก็ไปเรียนที่มหาลัยปกติ โดยที่ยังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นคุณบอยเดินมาเรียนคนเดียว คุณหนึ่งก็ถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมแฟนไม่มาด้วย คุณบอยอ้ำๆอึ้งๆอยู่พักหนึ่ง
    ก็ยอมบอกว่าแฟนกระโดดตึกตายเมื่อคืน คุณหนึ่งและเพื่อนคนอื่นๆก็นึกว่าคุณบอยล้อเล่น คุณบอยจึงให้ไปถามคนที่อยู่แถวนั้นดู เพราะรู้กันเกือบทั้งซอย แต่คุณบอยก็ยังไม่ได้ย้ายออก เพราะติดที่ค่ามัดจำ
    เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน คุณบอยก็กลับมาที่ห้องปกติ จนวันที่สอง เวลาประมาณห้าทุ่ม คุณบอยนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกเห็นอะไรบางอย่างขยับเขยื้อนอยู่แถวๆหางตา จึงได้หันไปมอง

    ปรากฏว่าเห็นแฟนนอนตะแคง เอามือเท้าหัว จ้องคุณบอยตาไม่กระพริบอยู่บนตู้เสื้อผ้า ใบหน้าเฉยเมย จนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผิวซีดขาวออกคล้ำๆ สายตาของคนตายที่จ้องมาทางคุณบอย ทำให้รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ทั้งที่ปกติแล้วคุณบอยเป็นคนไม่กลัวผี แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้ามันก็ชวนให้ขนหัวลุกตั้ง
    เศษเสี้ยวของความกลัวเล็กๆ ผุดขึ้นเกาะกุมอยู่ในใจ จนวันต่อมา เวลาประมาณตีสอง คุณบอยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ภายในห้องจะมืดมาก มีแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาเล็กน้อย ทำให้เห็นสภาพห้องสลัวๆ

    ปรากฏว่าคุณบอยเห็นเงาร่างหนึ่ง ยืนอยู่บนเตียง แล้วโค้งลำตัวลงมาหา เหมือนกำลังจ้องมองหน้าคุณบอย คุณบอยพยายามเพ่งมองเงาที่โค้งลำตัวลงมา จนพอมองออกว่านั้นคือแฟนของตัวเองที่เสียชีวิตไปแล้ว
    มีเสียงเย็นๆแหบๆ พูดขึ้นมาอย่างช้าๆว่า "บอย ไปอยู่ด้วยกันมั้ย" คุณบอยรู้สึกชาไปทั้งตัว ทั้งๆที่รู้ว่านั่นคือแฟน แต่ความกลัวมันเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ แทนความกล้าที่มันเริ่มพังทลายลงทีละนิด คุณบอยแข็งใจตอบกลับไปว่า "ไม่ไป ยังเรียนไม่จบ" แต่เงาดำนั่นก็ยังคงยืนจ้องคุณบอยอยู่แบบนี้ทั้งคืน

    หลังจากวันนั้น คุณบอยจะถูกแฟนมากวนอยู่ทุกๆคืน จนเริ่มอยู่ไม่ได้ จึงได้มาปรึกษาคุณหนึ่งกับเพื่อนๆที่มหาลัย คุณหนึ่งก็บอกว่าแถวนี้มีวัดอยู่ที่หนึ่ง หลวงพ่อท่านเก่งมาก จึงได้ชวนกันไปปรึกษาดู แต่พอไปถึง หลวงพ่อท่านไม่อยู่วัดพอดี
    จึงได้เข้าไปปรึกษาหมอธรรมที่อยู่ในวัดแห่งนั้น หมอธรรมแนะนำว่าให้คุณบอยลงไปนอนที่ใต้เตียงเป็นเวลาเจ็ดวัน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาจากใต้เตียงเด็ดขาด จากนั้นคุณบอยก็ได้ทำตามคำแนะนำของหมอธรรม
    จนย่างเข้าวันที่สี่ เป็นวันสอบปลายภาค คุณหนึ่งก็งงว่าทำไมวันนี้คุณบอยถึงไม่มาสอบ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของนักศึกษามาก หลังจากสอบเสร็จเวลาประมาณหกโมงเย็น คุณหนึ่งจึงไปหาคุณบอยที่ห้อง
    แต่ก็เข้าห้องไม่ได้ เพราะว่าลูกบิดถูกล็อกไว้จากด้านใน ซึ่งคุณหนึ่งเคยบอกกับคุณบอยไว้ว่าในช่วงที่กำลังทำพิธีนี้อยู่ ห้ามล็อคห้อง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณหนึ่งจะได้สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที

    คุณหนึ่งจึงไปตามแม่บ้านให้มาช่วยเปิดห้อง หลังจากที่เปิดประตูห้องเข้าไป มีกลิ่นบางอย่างที่เหม็นมาก ทะลักออกมาจากในห้อง จนคุณหนึ่งและแม่บ้านต้องเอามือปิดจมูก คุณหนึ่งพยายามนึกว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ แต่ก็นึกไม่ออก
    ภายในห้องค่องข้างมืดทึบ ผ้าม่านถูกดึงปิดไว้จนมิด ประกอบกับเป็นช่วงเวลาประมาณหกโมงครึ่ง แม่บ้านจึงเดินฝ่าความมืดเข้าไปในห้อง เพื่อที่จะไปเปิดประตูหลังห้องให้ระบายกลิ่นออกไปบาง แต่ไปสะดุดเข้าอะไรบางอย่างจนเกือบหน้าคว่ำ คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงช่วยกันมอง ปรากฏว่ามันคือแขนของคุณบอย โผล่ออกมาจากใต้เตียง

    คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงรีบช่วยกันดันเตียงออก ก็พบว่าคุณบอยนอนหงายลิ้นจุกปาก ลักษณะเหมือนถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ ที่ลำคอมีลอยแดงๆช้ำๆ เหมือนถูกบีบอย่างแรง เมื่อคุณหนึ่งเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกฉุนหมอธรรม คนที่แนะนำให้คุณบอยทำพิธีนี้มาก
    จึงได้นั่งแท็กซี่ไปหาคืนนั้นเลย หมอธรรมก็ถามว่า "ตอนที่ผู้หญิงกระโดดตึก เค้ากระโดดลงสภาพไหน" ซึ่งคุณหนึ่งก็ไม่ทราบ จึงได้โทรถามแม่บ้าน เพราะแม่บ้านเห็นสภาพศพ แม่บ้านบอกว่าเอาหัวลง
    หมอธรรมจึงบอกว่า "เวลาที่ผู้หญิงเค้ามา เค้าไม่ได้เอาเท้าเดิน แต่เค้าเอาหัวเดิน ใช้หัวไถมากับพื้น จากระเบียงหลังห้องแล้วไถไปรอบๆเตียง จึงสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่ใต้เตียง" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด







# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหนึ่ง The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป Theshock Sfx


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ| เรื่อง เล่นพิเรนทร์



 เล่นพิเรนทร์

 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวย่านท่าพระ เมื่อประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ด้วยความว่าง คุณโน๊ตและเพื่อนๆก็มาคุยกันว่า วันศุกร์ ตอนเลิกเรียน หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว มาเล่นผีถ้วยแก้วกันดีกว่า

    คุณโน๊ตอาสาทำกระดานผีถ้วยแก้วเอง จึงได้ไปถามวิธีการมาจากคนเฒ่าคนแก่ จากนั้นก็เริ่มทำ โดยใช้กล่องกระดาษตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ใช้พู่กันจีนแต้มเลือดไก่สดๆ เขียนข้อความบนกระดาน
    พอถึงวันศุกร์ หลังจากที่ทำความสะอาดหลังเลิกเรียนเสร็จแล้ว คุณโน็ตและเพื่อนๆอีกสี่คนก็ได้นั่งกันที่หลังห้อง ดึงเอาอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา มีกระดานผีถ้วยแก้ว ถ้วยแก้วเล็กๆหนึ่งใบ กระจกส่องหน้าประมาณห้านิ้ว กระถางธูปและธูปหนึ่งดอก
    มีเพื่อนคนนึงขอยืนดูอยู่เฉยๆ จึงมีคนเล่นทั้งหมดสี่คน หลังจากมานั่งล้อมวงกันหมดแล้ว เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า "จะเรียกเค้ายังไงดี" คุณโน็ตบอกว่า "ท่องนะโมพุทธายะย้อนหลังสามรอบ และอัญเชิญวิญญาณ"
    พอทุกคนท่องจบ รู้สึกว่ากระดานมันขยับเล็กน้อย ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก คุณโน๊ตพูดว่า "ถ้าท่านมาแล้วให้ไปที่คำว่าใช่ หรือไปที่รูปบ้านก็ได้" แต่แก้วก็ยังไม่ขยับไปไหน
    แต่อยู่ๆ ไม้กวาดหลังห้องที่อยู่ในช่องเก็บ เด้งตกลงพื้นเอง ทุกคนตกใจหันไปมองเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมันมาก แล้วหันไปสนใจผีถ้วยแก้วกันต่อ แต่ว่าเรียกเท่าไหร่ แก้วก็ยังไม่ยอมขยับ
    แต่คุณโน๊ตสังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆก้มหน้าลงทีละนิด เหมือนพยายามสังเกตอะไรสักอย่างในกระจก ที่ตั้งอยู่ข้างๆกระดาน แล้วอยู่ๆเพื่อนผู้หญิงก็ลุกพรวด คว้ากระเป๋า เดินออกจากห้องทันที
    เพื่อนที่เหลือต่างนั่งมองหน้ากัน คุณโน๊ตคิดในใจว่าเพื่อนต้องเห็นอะไรแน่ๆ ทุกคนต่างระแวงกันไปต่างๆนาๆ จนดูท่าไม่ดี จึงย้ายกันไปนั่งเล่นที่หน้าห้อง เพราะจุดนั้นจะสว่างกว่าหลังห้อง

    จากนั้นก็เริ่มท่องใหม่กันตั้งแต่แรก แต่คราวนี้แก้วขยับเคลื่อนที่ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีใครคนนึงแกล้งขยับมันหรือเปล่า ลักษณะแก้วจะวนเร็วมาก จนไปหยุดอยู่ที่อักษร "ร"
    คุณโน๊ตจึงถามว่า "ถ้ามาแล้วจริงๆ เพื่อนผมมันใส่กางเกงในสีอะไร" แต่รู้สึกเหมือนแก้วมันพยายามจะพลิก ทุกคนจึงช่วยกันกด ต่างก็ตั้งคำถามใส่กันว่าใครแกล้ง จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง กลิ้งเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง "ตุ๊บ!!ตึกๆๆๆๆ"
    ทุกคนตกใจมาก รีบหันไปมองทางต้นเสียง สิ่งนั้นกลิ่นไปชนกับประตูหลังห้อง แล้วกลิ่งกลับมาหยุดอยู่ตรงช่วงกลางๆของหลังห้อง ลักษณะเป็นลูกกลมๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า "ใครโยนลูกมะพร้าวเข้ามาวะ นี่มันชั้นสามนะ"
    ทุกคนยังคงจับตามองไปที่ลูกกลมๆนั่น แต่เหมือนว่ามันค่อยๆขยับหมุนอยู่กับที่ เหมือนมีคนไปจับมันหมุนเบาๆ คุณโน๊ตพยายามเพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตปรุงแต่งหรือเปล่า แต่เห็นเหมือนเป็นจมูกคน
    คุณโน๊ตเริ่มใจสั่น ขอให้ตนเองมองผิด แล้วพยายามสั่งเกตให้ดีๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดขึ้นมาว่า "หัวคนนี่หว่า" ทุกคนรีบวิ่งกระเจิงออกห้องทันที แล้วต่างคนต่างวิ่งหนีกลับบ้าน

    เช้าวันต่อมา ทุกคนโดนครูเรียกเข้าไปทำโทษ สาเหตุที่ครูทราบเพราะว่าพวกคุณโน๊ตไม่ได้เก็บอุปกรณ์ต่างๆกลับมาด้วย หลังจากพักทานอาหารเที่ยง คุณโน๊ตก็ไปถามเพื่อนผู้หญิงที่กลับบ้านไปก่อน
    แต่เพื่อนก็ไม่ยอมพูดอะไร คุณโน๊ตจึงบอกว่า "แกบอกมาเหอะ เพราะเมื่อวานพวกเราก็เจอมาเหมือนกัน" เพื่อนผู้หญิงก็บอกว่า "ถ้าเราเล่าให้ฟัง เราจะเจออะไรมั้ย" ทุกคนมองหน้ากันแล้วตอบว่า "เราเล่าให้แกฟังแล้ว แกก็ต้องเล่าให้เราฟังบ้างดิ"

    เพื่อนก็เล่าว่า ตอนที่กำลังท่องอัญเชิญกันอยู่ ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ เสียงคล้ายๆตุ๊กแกร้อง "แอ๊ะๆๆๆๆ" แต่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิง และได้เหลือบไปมองในกระจก เห็นมือหนึ่ง ลักษณะขาวซีดคล้ำๆ ห้อยลงมาแตะที่กลางถ้วยแก้ว
    จึงได้ก้มลงมองต่ำๆผ่านกระจก ปรากฏว่าเห็นเป็นศพผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดม่อฮ่อมสีครีมเปื้อนโคลน ขาทั้งคู่ชี้ตั้งไปบนเพดาน นิ้วมือแตะลงบนถ้วยแก้ว คล้ายๆท่าหกสูง ศพนั้นค่อยๆหันตัวมาทางเพื่อนผู้หญิง ใบหน้าสีขาวคล้ำ ตาเหลือกมองไปที่กระดาน จมูกแห้งๆ เห็นแค่สันจมูกเหมือนหัวกระโหลก ริมฝีปากสีดำ อ้าปากกว้างเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง
    คุณโน๊ตได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกจุกที่ท้อง จนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ คิดว่าแบบนี้มันไม่ปกติแน่ ความกลัวและหวาดระแวงทำให้คุณโน๊ตอยู่นิ่งไม่ได้ หลังจากเลิกเรียน จึงได้ชวนเพื่อนทุกคนไปปรึกษาพระที่วัด

    ในขณะที่กำลังเดินออกจากโรงเรียน ภารโรงเดินมาพูดว่า "เป็นไงหละพวกเอ็ง ใครเค้าให้เล่นกันช่วงโพล้เพล้" คุณโน๊ตจึงถามกลับไปว่า "ทำไมอ่ะ" ภารโรงบอกว่า "พิธีกรรมที่ทำเฉพาะตอนเย็นก็คือการสวดศพ แล้วรู้หรือเปล่า ช่วงที่วิญญาณเค้ากำลังเดินทางอยู่ พวกเอ็งเรียกใคร ถ้าใครผ่านอยู่แถวนั้น เค้าก็มาหาพวกเอ็งกันหมด คำโบราณที่เค้าพูดกันว่าตะวันทับฟ้า คือเป็นช่วงเปิดกับปิด แล้วเอ็งรู้มั้ย ทุกวันนี้เค้าตามพวกเอ็งอยู่ เพราะพวกเอ็งไม่ได้เชิญเค้าออก แล้วเค้าจะไปไหนได้"
    คุณโน๊ตใจหายแวบ รู้สึกขนลุกตั้งทั้งตัว ภารโรงพูดต่อว่า "รู้มั้ย ตอนเที่ยงที่พวกเอ็งนั่งกินข้าวกันอยู่ ข้าเห็นเค้านั่งแย่งข้าวพวกเอ็งกินอยู่บนโต๊ะ รีบไปหาหลวงตาซะ ให้ท่านช่วยก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น"


    คุณโน๊ตและเพื่อนๆจึงเดินน้ำตาไหลไปหาหลวงตาที่วัด พอไปเจอหลวงตาที่วัด ท่านก็พูดว่า "เอ็งอย่าพึ่งเข้ามา รอข้างนอกก่อน" คุณโน๊ตกับเพื่อนๆก็งง จึงถามหลวงตาว่า "รออะไรครับหลวงตา"
    ท่านบอกว่า "ข้าไม่ได้หมายถึงพวกเอ็ง ข้าหมายถึงผู้หญิงที่เดินตามพวกเอ็งมา" คุณโน็ตรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หันไปมองข้างหลัง แต่ก็เจอแค่ความว่างเปล่า หลวงตาท่านก็ถามว่า "ไปทำอะไรกันมา"
    คุณโน๊ตจึงเล่าเหตุการณ์ให้หลวงาฟัง ท่านบอกว่า "ตอนนี้ไม่ทัน เดี๋ยวข้าจะผูกสายสินญ์ข้อมือให้ แล้วพวกเอ็งก็กลับไปนอนกันก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมาใหม่ จะทำบังสุกุลให้"
    หลังจากที่คุณโน๊ตและเพื่อนๆเข้าพิธีบังสุกุลแล้ว ก็กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ส่วนผีผู้หญิง หลวงตาท่านก็ได้สวดส่งวิญญาณให้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณโน๊ต The Shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - สยองขวัญหลังเที่ยงคืน



สยองขวัญหลังเที่ยงคืน

      เหตุการณ์เกิดขึ้นที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง แถวถนนเพชรบุรี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณบอยเปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อน เกี่ยวกับกำจัดแมลง และได้คอนแทรคกับสถานอาบอบนวดที่หนึ่ง ให้เข้าไปทำการดูแลความสะอาดและพวกแมลง โดยมีสัญญาหนึ่งปี
    ที่แห่งนี้จะมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งยังเปิดทำการปกติ แต่ชั้นสองและชั้นสามกำลังรีโนเวทใหม่อยู่ ทางสถานอาบอบนวดนัดให้คุณบอยกับเพื่อนเข้าไปทำตอนตีหนึ่ง เพราะต้องรอให้คนออกจากสถานที่ให้หมดก่อน

    หลังจากที่คุณบอยเดินทางไปถึง พบกับยามและสุนัขหนึ่งตัว นั่งเฝ้าอยู่หน้าตึก ยามบอกกับคุณบอยว่า "มากันแล้วใช่มั้ยน้อง เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้ แล้งน้องขึ้นไปกันเองนะ" คุณบอยก็ตอบกลับว่า "อ่าวพี่ ผมเพิ่งมาครั้งแรก ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าต้องไปเปิดไฟตรงไหน"
    ยามหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง วาดแผนพังแบบสังเขป พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า "นี่ชั้นสองนะ พอขึ้นไปจะมีทางเดินซ้ายขวา ตรงกลางมันจะมีพวกแผงสวิทช์ต่างๆอยู่ ส่วนชั้นสาม ถ้าขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอห้องน้ำ ตรงกลางจะมีพวกแผงสวิทช์ไฟอยู่เหมือนกัน แต่สวิทช์ไฟที่ชั้นสามยังใช้ไม่ได้ ต้องไปกดที่ชั้นสองเท่านั้น"
    คุณบอยและเพื่อนไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เจ้าบ้านจะให้เข้าไปจัดการกันเอง จึงถือแผนที่แล้วเดินไปตามทางที่ยามบอกไว้ ชั้นหนึ่งจะปิดไฟทั้งหมด ทางเจ้าของสถานที่เค้าห้ามเปิดไฟ
    คุณบอยจึงเอาไฟฉายขึ้นมาส่องไปตามมุมต่างๆ แล้วยกกระป๋องฉีดยา เดินฉีดไปเรื่อยๆ โดยแยกทำกับเพื่อน สถานที่แห่งนี้ค่อยข้างใหญ่พอสมควร การที่คุณบอยต้องมาเดินอยู่ในความมืดเพียงลำพัง มีแค่เสียงรองเท้าที่ดังก้องไปมาในโถงทางเดินใหญ่ๆทึบๆ ทำให้รู้สึกหวาดระแวงพอสมควร จนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง เพื่อกลบความกลัว

    เมื่อเสร็จจากชั้นหนึ่ง จึงเดินกลับมารอเพื่อนที่ห้องโถงใหญ่ สักพักเพื่อนก็เดินเข้ามาหา คุณบอยตกลงกับเพื่อนว่า "เดี๋ยวเราขึ้นไปฉีดที่ชั้นสามก่อน แล้วค่อยลงมาฉีดที่ชั้นสอง เสร็จแล้วกลับเลย" เพื่อนเห็นดีด้วย จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง
    ทางเจ้าของสถานที่อนุญาตให้เปิดไฟที่ชั้นสองและสามได้ คุณบอยจึงสับสวิทช์ไฟที่ชั้นสองขึ้นแบบมั่วๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคือจุดไหนบ้าง แสงสว่างไล่ความมืดและความกลัวได้ดีพอสมควร
    เมื่อคุณบอยชะเง้อขึ้นไปมองที่ชั้นสาม พบว่ามีแสงสว่างจากหลอดนีออนแล้ว จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม ในขณะที่กำลังเดินขึ้น คุณบอยได้ยินเสียงน้ำไหล แต่ไม่ได้ไหลแรงมากนัก ลักษณะเหมือนเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ คุณบอยจำได้ว่า ทางซ้ายมือเป็นห้องน้ำ จึงไม่แปลกใจนักที่จะมีเสียงน้ำไหล

    ชั้นสามจะดูแคบกว่าชั้นอื่นๆ ไฟติดแต่ตรงทางเดินหน้าบันใด ทางซ้ายและขวามือจะเป็นทางเดินยาวๆมืดๆ มีข้าวของและเศษก้อนปูนวางระเกะระกะ ตามฝาผนังยังคงทาสีไม่เสร็จดี

    คุณบอยหยุดอยู่แถวๆทางเดินหน้าบันได คุยกับเพื่อนว่า "น้ำมันไหลอยู่ได้ยังไง นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ" ถึงแม้ว่าคุณบอยและเพื่อน จะเคยทำงานในเวลากลางดึกแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป คุณบอยรู้สึกอึดอัดและไม่ค่อยดีกับสถานที่แห่งนี้มาก
    จึงบอกกับเพื่อนว่า "เดี๋ยวเรารีบๆทำงานให้เรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันกลับดีกว่า" จุดแรกที่จะเข้าไปฉีดคือห้องน้ำ คุณบอยเดินตรงไปที่ทางเดินด้านซ้าย ห้องน้ำจะอยู่ห้องแรกซ้ายมือ

    เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งทำให้ได้ยิงเสียงน้ำไหลชัดเจน คุณบอยพยายามหมุนลูกบิดประตู แต่มันกลับถูกล็อกจากด้านใน จึงหันไปคุยกับเพื่อนว่า "หรือว่าจะมีคนอยู่ข้างใน" แต่เพื่อนก็พูดเสริมขึ้นมาว่า "หรือเค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำมันไหลนานแล้วนะ"
    จึงช่วยกันเคาะประตู "มีคนอยู่ข้างในมั้ยครับ มีมั้ยครับ" ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา นอกจากเสียงน้ำไหล คุณบอยดูท่าไม่ดี  คิดว่าจะเดินลงไปเรียกยามขึ้นมา จังหวะที่หันหลังจะเดินลงบันได ปรากฏว่าได้ยินเสียงปลดล็อคดัง "แกร่ก!!"
    คุณบอยและเพื่อนสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง เห็นประตูมันค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ทำให้คุณบอยและเพื่อนยืนอึ้งอยู่กับที่ แต่พยายามคิดปลอบใจตัวเองว่า มันคงไม่มีอะไรหรอก จึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วดันประตูเข้าไป
    เป็นห้องมืดๆที่แทบจะมองอะไรไม่เห็น มีกลิ่นสาบของอะไรบางอย่างจางๆ คุณบอยใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดู ทำให้รู้ว่ามันคือห้องน้ำที่ถูกทุบทั้งหมด ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่า คุณบอยขนลุกวาบ แล้วเสียงน้ำไหลที่ได้ยินมันคือเสียงของอะไรกันแน่
    เพื่อนพูดขึ้นมาทันทีว่า "ท่าไม่ดีแล้วแฮะ เอางี้มั้ย เราลงไปข้างล่าง แล้วไปปรึกษายามดู" คุยบอยและเพื่อนเดินถอยออกมาจากห้องน้ำ แล้วตรงไปที่บันได แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือก รีบกระโดดกลับหลังทันที เพราะประตูห้องน้ำมันดีดปิดเองดัง "ปั้ง!!"
    แล้วเสียงน้ำไหลมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดังก้องไปทั้งชั้น พร้อมกับกลิ่นคาวของอะไรบางอย่าง ลอยอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ ในจังหวะที่คุณบอยและเพื่อนยืนตัวสั่นมองหน้ากันอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียงผู้หญิงครวญครางดังอยู่ไกลๆ "อื้ออออื่ออออื้อออ"
    เป็นเสียงที่ผิดมนุษย์มนามาก ดังมาจากความมืดปลายทางเดินด้านซ้าย คุณบอยและเพื่อนค่อยๆฉายไฟไปทางต้นเสียงด้วยใจระทึก แสงไปกระทบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้า ใส่ชุดคลุมท้อง เนื้อตัวมีแต่ลอยเลือด เหมือนเอามือที่เปื้อนเลือดจับไปตามร่างกาย ยืนกางแขนกางขาเล็กน้อย มีเลือดสีแดงเข้ม ไหลออกมาจากหว่างขา

    ภาพที่เห็นมันตอบโจทน์ได้ทันทีว่า เสียงน้ำไหลมันคืออะไร มีเสียงครวญครางดังอยู่ตลอดเวลา "อื้อออ..อื้ออออออ" คุณบอยกับเพื่อนยืนขาตาย ทำอะไรไม่ถูก ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย รู้สึกหน้ามืดอยากอาเจียน เพราะกลิ่นเหม็นคาวมันรุนแรงขึ้นทุกที
    ผู้หญิงคนนั้นยืนครางในลำคอเหมือนคนเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วอยู่ๆก็วิ่งกระเสือกกระสนเข้ามาหาคุณบอยและเพื่อน ครางเสียงสั่นๆในลำคออยู่ตลอดเวลา "อื้ออื้อออื้อออื้ออ" คุณบอยและเพื่อนตกใจสุดขีด โยนถังฉีดแมลงในมือทิ้ง วิ่งกระเจิงลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ร้องตะโกนโวยวาย "ผี ผีหลอกกกก ผีหลอกโว้ยยยย"
    ปรากฏว่ายามกับสุนัขที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู วิ่งหนีออกไปนอกถนน คุณบอยได้ยินเสียงเพื่อนจะโกนบอกว่า "ขึ้นรถ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน" จึงขึ้นรถกับเพื่อนคนละคัน แล้วเหยียบออกไปจากที่นี่ทันที

    รุ่งเช้า เพื่อนโทรมาบอกว่า ลูกค้าเรียกไปให้หา เมื่อคุณบอยและเพื่อนเดินทางไปถึง เจ้าของสถานที่ก็ยิงคำถามมาทันที ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทิ้งอุปกรณไว้แกะกะแบบนี้ แต่คุณบอยกับเพื่อนไม่สามารถเล่าเรื่องที่เจอมาให้ลูกค้าฟังได้ เพราะจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ
    จึงตอบแค่ว่า "ผมดูสถานที่แล้วมันไม่สดวกที่จะทำงานครับ งั้นผมขอยกเลิกสัญญาเลยก็ได้ แล้วจะคืนเงินให้ครับ" คุณบอยจึงขึ้นไปเก็บอุปกรณ์ข้างบน มีคนงานก่อสร้างกำลังทำงานกันอยู่หลานคน
    คุณบอยเจอเข้ากับหัวหน้าคนงานที่ชั้นสาม หัวหน้าคนงานเดินมาบอกว่า "พี่ ผมเก็บไว้ให้ละ สองถัง ของพี่ใช่มั้ยครับ" คุณบอยตอบว่า "ใช่ครับ" แล้วรับถังฉีดแมลงมา คุณบอยมองไปตามทางเดินทางซ้าย ภาพที่เห็นเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว
    ด้วยความสงสัย จึงลองเดินไปสุดทางเดิน ตรงที่ผู้หญิงคนเมื่อคืนยืนอยู่ พบว่าด้านขวามือ เป็นห้องสำหรับตรวจภายใน ห้องไม่ค่อยกว้างมากนัก มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตียงนอน โคมไฟบนหัวแบบห้องผ่าตัด เครื่องมือสแตนเลสต่างๆ รวมไปถึงเชือกสลิง ของทุกอย่างมีสภาพค่อนข้างเก่า เหมือนผ่านการใช้มาแล้วนับไม่ถ้วน
    คุณบอยรู้สึกไม่ดีกับห้องนี้มาก เหมือนกับว่าห้องนี้มันเก็บความเจ็มปวดของใครหลายๆคนเอาไว้อยู่เต็มไปหมด จนชวนให้รู้สึกหดหู่ใจ จนคุณบอยต้องรีบเบือนหน้าหนี แล้วรีบเดินลงมาจากตึก แยกย้ายกันไปทำที่อื่นต่อ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณบอย The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก TheghostradioOfficial

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน

หญิงสาว เที่ยงคืน เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ท...