วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | บ้านกลางบึง



บ้านกลางบึง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 9 ปี สมัยที่คุณบอยยังทำงานเป็นพนักงานกำจัดปลวกของบริษัทหนึ่งอยู่
วันเป็นบ่ายที่เงียบเหงา และไม่มีงานเข้ามาเลย คุณบอยกับเพื่อนนั่งดูเอกสารกันอยุ่ในออฟฟิส
ก็มีสายแปลก ๆ โทรเข้ามา เรียกว่าเป็นโทรศัพท์ลึกลับ เพราะไม่ขึ้นหมายเลขปลายสาย
ก็สงสัยกันว่าทำไมหมายเลขไม่ขึ้น ก็แปลกใจกันว่าเป็นเบอร์พิเศษหรือเบอร์อะไร 
แต่ก็ตัดสินใจให้เพื่อนรับสายไปก่อน เผื่อว่าจะมีเรื่องสำคัญ
คุณบอยก็สังเกตว่าเพื่อนเพื่อนฟังไปก็อึ้งไป เลยถามมีอะไรเหรอ
เพื่อนก็ส่ายหัวแล้วเปิดสปี๊คเกอร์ให้ฟังด้วยกัน
ก็ได้ยินเสียงลมวู่ว ๆ พัดกระโชกโกรก ๆ ออกมา เหมือนปลายสายยืนคุยโทรศัพท์หน้าพัดลม
ไม่มีเสียงคนพูด มีแค่เสียงลมเท่านั้น เพื่อนคุณบอยพยายามฮัลโหล ๆ ก็ไม่มีเสียงตอบมา
ก่อนที่สายจะตัดไปในที่สุด
เลยคิดกันว่าน่าจะมีคนโทรมาแกล้งละมั้ง

แต่ผ่านไปไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์สายนั้นก็โทรกลับมาอีกรอบ
เบอร์ก็ไม่โชว์เหมือนเดิม ก็มีเสียงลมเหมือนเดิม
และเพื่อนคุณบอยก็พยายามฮัลโหล ๆ เรื่อย ๆ
จนกระทั่งปลายสายมีเสียงพูดขึ้น
เป็นเสียงของผู้ชายแก่ ๆ คนหนึ่งถามขึ้นมาว่า
"รับกำจัดปลวกใช่มั้ย อยากให้ช่วยมาดูแลบ้านให้หน่อย"
เพื่อนพอเห็นว่าเป็นลูกค้าปกติแล้ว จึงปิดสปี๊กเกอร์กลับไปยกหูคุยต่อ
แล้วก็รายละเอียด จดที่อยู่ ทางไปสถานที่
พร้อมตกลงกับปลายสายว่า
ช่วงนี้งานที่ออฟฟิสเราว่างพอดี เดี๋ยวจะขอไปเช็คสถานที่เพื่อดูแนวทางการทำงาน 
ว่าต้องทำยังไงบ้าง 

กระทั่งคุยกันจบธุระเพื่อนคุณบอยก็วางหูไป
แล้วมาสรุปให้คุณบอยฟังว่า
มีลูกค้าเป็นคุณลุงท่านนึง อยู่ที่สระบุรี 
บ้านเค้าเป็นบ้านไม้ สงสัยว่าจะมีปลวกกิน เลยอยากให้ไปดูบ้านให้หน่อย
คุณบอยก็โอเครับงาน และออกเดินทางกันในวันนั้นเลย 
ตอนนั้นช่วงประมาณบ่ายสอง - บ่ายสาม
ทั้งคู่ขับรถกันไปตามเส้นทาง ระหว่างทางคุณบอยหลับไปตลอด ไม่ได้รู้เส้นทาง 
จนมารู้สึกตัวอีกที ก็ตรงปากทางเข้า จ.สระบุรี 
แต่ตอนนั้นเพื่อนเหมือนลงไปถามทาง 

เมื่อคุณบอยตามลงมา เพื่อนก็บอกว่า 
หาที่อยู่ที่คุณลุงลูกค้าให้มาไม่เจอ ทางมันบอกไปทางนี้ ว่ามีป้ายบอกบ้านเลขที่ 28 อะไรซักอย่าง 
แต่มันไม่มีป้ายนี้บนถนน มีแค่ทุ่งหญ้าสองข้างทางยาวไปตลอดเส้นเลย 
จึงตัดสินใจขึ้นรถตระเวณหากันยาว ๆ ไป เพื่อตามหาบ้านคนที่พอจะถามทาง
ว่ามีซอยนี้ หรือบ้านเลขที่นี้อยู่จริงหรือเปล่า
ทั้งคู่ก็ขับหากันอยู่นานจนตกเย็น กระทั่งขับไปเจอร้านของชำเล็ก ๆ ร้านนึง
ลักษณะเป็นเพิงขายขายข้างทาง มีพวกของใช้ทั่วไป พวกขนมของกินกระจุกกระจิก ผงซักฟอก ยาสระผม
และมีคุณยายแก่ ๆ คนนึงเฝ้าร้านอยู่ คุณบอยกับเพื่อนเลยลงไปถามถึงที่อยู่ที่ว่า 
คุณยายเจ้าของร้านดูอึ้งไปแว้บ หนึ่งก่อนจะชี้และบอกว่า 
"เนี่ยไอ้หนุ่ม เห็นต้นไม้ต้นนั้นไม้มั้ย" 
คุณบอยมองตามเห็นเป็นต้นไม้ไม่สูงมาก แต่เด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าของข้างทาง 
เพราะมีแค่ต้นไม้ต้นนั้นต้นเดียว 
นอกจากนั้นคุณยายยังบอกต่ออีกว่า 
"ทางเข้าอยู่ตรงนั้นแหละ แต่นี่ก็จะค่ำแล้วนะ ไปหาที่พักในเมืองก่อนมั้ยค่อยเข้าไปกันตอนกลางวัน" 
แต่คุณบอยบอกว่า ไม่เป็นไร คิดว่าแค่มาดูสถานที่เฉย ๆ แล้วค่อยหาที่พัก รุ่งเช้าค่อยมาเริ่มงานอีกที 
แล้วขอบคุณ บอกลาคุณยาย ก่อนขับรถออกมา เพื่อตรงไปยังซอยที่บอก
ลักษณะเป็นซอยเล็ก ๆ พอดีคันรถ
แต่มันลึกมาก ๆ จากถนนใหญ่เข้ามาใช้เวลาขับร่วม 20 นาที ก็ยังไม่เจอบ้านคน
สองข้างทางมีแต่ต้นหญ้าขึ้นสูงตลอดทาง 
คุณบอยก็เริ่มถอดใจว่าจะมันมีบ้านคนจริง ๆ เหรอ พี่อยู่มันผิดหรือเปล่า
เพื่อนก็ว่า ไม่ผิดหรอกทางนี้แหละ ยายเค้าก็ชี้มานี่ ว่าทางนี้ 

กระทั่งเพื่อนขับรถไปเรื่อย ๆ จนถึงทางที่ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีถนนแล้ว 
จึงจอดรถลงไปดูว่าจะทำยังไงต่อ พลางมองสำรวจว่ามาถูกทางแล้วหรือเปล่า
เวลาช่วงนั้นประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งฟ้าก็ครึ้มจะมืดแล้ว
แล้วเพื่อนคุณบอยบังเอิญไปเจอทางเดินเท้าเล็ก ๆ เส้นหนึ่งซึ่งหญ้าขึ้นบังจนมิด 
จึงมั่นใจว่านี่แหละทางเข้าบ้าน แต่ไม่น่าจะมีคนสัญจรประจำ เพราะเหมือนไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว 
แต่คุณบอยกับเพื่อนตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไร จึงพากันถือเอกสารพากันแหวกหญ้าเข้าไปบนทางเดิน
ซึ่งขนาดกว้างประมาณเมตรนึง และปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าขึ้นสูง 

ทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ เรียงแถวเป็นเส้นตรงไป จนเดินทะลุไปเห็นพื้นที่ราบกว้าง ๆ
และมีบ้านคนอยู่ข้างในนั้นจริง ๆ ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้ 
ตัวบ้านหันข้างให้คุณบอยกับเพื่อน ประตูทางเข้าอยู่อีกด้าน ไม่สามารถมองเห็นได้
จึงเดินอ้อมเพื่อจะเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่พอสมควร 
มีโต๊ะนั่งกินข้าวตั้งวางติดกับกำแพงไม้นอกตัวบ้าน และมีชิงช้าด้วย
คุณบอยบอกว่า นี่น่าจะเป็นบ้านของคุณลุงคนที่ติดต่อมาทำงาน 
จึงพาเพื่อนเข้าไปเคาะประตู เคาะได้พักนึง ประตูกเปิดออกเอง 
อาจเพราะไม่ได้ล็อกมันเลยเปิดออก

เมื่อพากันเดินเข้าไปก็พบว่าสภาพข้าวของเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างอยู่ในสภาพเก่า 
เหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน มีสัตว์สารพัดอาศัยอยู่ในตัวบ้าน 
ตุ๊กแกนี่มีร่วมห้าหกตัว แถมมีงูเลื้อยอยู่เต็มไปหมด เงยหน้ามองเพดานฝ้าก็ไม่มีเป็นหลังคาโปร่ง ๆ 
ซ้ำมีนกเกาะอยู่เต็มไปหมด เห็นชัด ๆ ว่าเป็นบ้านร้างไม่น่ามีคนอยู่ได้ ไฟฟ้ามีหลอดมีสายไฟแต่ก็เปิดไม่ติด
บรรยากาศเริ่มมืดแล้ว มองเห็นไม่ชัดเพื่อนจึงใช้ไฟฉายสาดเข้าไปข้างใน
ก็เห็นเตียงนอนเก่า ๆ ผ้าปูขาด ๆ ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ก็เก่าคร่ำคร่าไปหมด
ทั้งคู่พยายามเดินตามหาคุณลุงเจ้าของบ้านอยู่นาน ก็ไม่เจอ ไม่เหมือนสถานที่ที่มีคนอยู่

กระทั่งหาไปได้สักพัก อยู่ ๆ เพื่อนคุณบอยก็ตัวแข็งทื่อ 
แล้วสาดไฟฉายไปที่เพดาน (น่าจะเป็นกำแพงด้านบน) 
คุณบอยก็ตกใจหันไปมองตามไฟ ปรากฏมีรูปภาพของชายแก่มาก ๆ คนนึงแขวนอยู่บนนั้น 
ด้านล่างของรูปนั้นก็มีโต๊ะ พร้อมจานใส่ผลไม้เน่า ๆ วางอยู่ ลักษณะเหมือนของเซ่นไหว้
ทั้งคู่เห็นท่าไม่ดีไม่ชอบมาพากลแล้ว จึงตัดสินใจหันหลังกลับ 
รีบเดินออกมาจากตัวบ้านแล้วปิดประตูคืนให้เหมือนเดิม 
ตั้งใจจะกลับไปทางเดินเดิมที่พงหญ้าข้างตัวบ้าน
แต่พอเดินไปถึงกลับพบว่าทางที่พวกเขาเพิ่งออกมานั้นหายไปแล้ว 
เหมือนมีต้นไม้มาคลุมพร้อม รวมทั้งบรรยากาศที่มืดลงแสงสว่างมีน้อย 
จึงมองไม่เห็นทางอีก เลยพยายามฉายไฟเพื่อหาทางออกให้ได้

ระหว่างนั้นเอง เป็นจังหวะที่นกเริ่มบินออกจากใต้หลังคาบ้าน
ส่งเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ คุณบอยเลยหันไปมองตามเสียง
และเห็นว่าประตูบ้านค่อย ๆ แง้มเปิดออก พร้อมมีลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง
เดินออกมาจากประตูบ้าน แต่ไม่ได้เดินมาหาคุณบอยกับเพื่อน กลับเดินไปทางอื่น
คุณบอยตกใจกลัว ไม่ได้สนใจจะเข้าไปถามอะไรแล้ว
พยายามหาทางออก กระทั่งไปเจอทางเบี่ยงเป็นอีกทางเล็ก ๆ 
ที่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ในความมืด จะไม่มีทางเจอเลย 
ก็รีบเดินพุ่งเป็นเส้นตรงเรียงแถวออกไปจากตรงนั้น เพื่อไปยังทางเข้าที่เข้ามาตอนแรกและกลับไปที่รถ
แต่ในจังหวะที่วิ่งมานั้น ทั้งคู่รู้สึกได้ว่ามีคนวิ่งตามมา 
และเพื่อนของคุณบอยก็หันไปมองข้างหลัง พร้อมร้องโวยวายว่า

"บอย!! อย่าหันไปมองนะ!! อย่าหันไป!!" 
คุณบอยจึงก้มหน้าก้มตาวิ่งกันอุดตลุดออกมาจากพงหญ้านั้นได้
จนหนีมาถึงรถ

ทว่า พอเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ
กลับพบว่ากุญแจหายไปแล้ว
คุณบอยกับเพื่อนตกใจว่ากุญแจหายไปไหน 
แล้วไม่มีกุญแจทำไมเปิดรถได้ เราไม่ได้ล็อกรถเหรอ 
ก็ไม่มีใครรู้ ว่าหายไปตอนไหน 
เลยเดาว่ากุญแจน่าจะตกระหว่างทาง 
อาจจะในบ้านหรือพงหญ้าตามทางที่ออกมา 
ซึ่งไม่มีใครกล้ากลับไปหาแล้วตอนนี้
เมื่อทำอะไรไม่ได้เลยตัดสินใจรออยู่ในรถ
แต่ระหว่างที่อยุ่ในรถนั้น ก็รู้สึกอึดอัด กดดันแปลก ๆ 
เหมือนมีคนมาเดินในพงหญ้าอยู่รอบ ๆ รถ 
คุณบอยบอกว่าเห็นเหมือนหัวคนโผล่ ๆ วอบ ๆ แวบ ๆ 
พ้นแนวหญ้าขึ้นมา
ซึ่งแน่ใจว่าเป็นลุงคนนั้น 
คนที่เห็นว่าเดินออกมาจากบ้าน 
มาเดินอยู่ในพงหญ้ารอบ ๆ รถ

เมื่อทนไม่ไหว ทั้งคู่จึงตัดสินใจเปิดประตูรถแล้ววิ่งออกมาจากซอยนั้น จนไปถึงถนนใหญ่
แล้ววิ่งตรงไปที่ร้านขายของชำของคุณยายเพื่อขอความช่วยเหลือ 
เพราะแกเป็นคนพื้นที่ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ที่พำนักได้
แต่ก็ต้องช็อคอีกรอบเมื่อพบว่า 
เพิงนั้นกลายเป็นเพิงร้าง ๆ ที่เหมือนถูกทิ้งร้างมานาน
แตกต่างจากสภาพที่เห็นตอนแรกมาก หลังคาก็พังไปครึ่งนึง 
กำแพงและข้าวของที่วางขายต่าง ๆ หายไปหมด รวมถึงตัวคุณยายด้วย
ทั้งคู่ยืนช็อกอึ้งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ 
จนได้ยินเสียงบีบแตรดังมาไกล ๆ
พอได้สติก็เห็นว่าเป็นรถสองแถวคันนึง 
จึงรีบวิ่งเข้าไปหา ขอความช่วยเหลือ
ร้องขอให้เขาเข้าไปส่งไปในเมือง 
โดยคนขับก็บอกว่า "เออๆ รีบ ๆ ขึ้นมาเลยเร็ว ๆ"
ก่อนจะขับพาออกมาจากตรงนั้น
ด้วยท่าทีตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
รถสองแถวพาทั้งคู่ออกมาส่งหน้าเซเว่นในตัวเมือง
พร้อมกับถามว่า ไปทำอะไรกันตรงนั้น 
คุณบอยบอกเล่าไม่ถูก พี่สองแถวก็บอก
เขาเข้าใจ แถวนั้นไม่มีใครเข้าไปหรอก 
คนเค้าเจอกันทุกรายเลย

คุณบอยไม่รู้จะทำยังไงต่อเพราะเหมือนเสียสติไปแล้ว
พี่สองแถวจึงบอกว่า น้องไปหาที่พักกันก่อนนะ แล้วพี่จะให้เบอร์โทรไว้ 
รุ่งเช้าค่อยว่ากันอีกทีมีอะไรจะให้ไปส่งไหนก็โทรมาแล้วกัน
แต่คืนนั้นคุณบอยนอนไม่หลับ 
กังวลไปสารพัดกับสิ่งที่เจอว่าคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นผี ก็แล้วไป 
แต่ถ้าไม่ใช่ เป็นแก๊งมิจฉาชีพที่มาหลอกเค้าเป็นกระบวนการ 
ก็พะวงถึงรถที่ไม่ได้ล็อกและเอกสารของสำคัญต่าง ๆ ในรถ 
คุณบอยกับเพื่อนรอจนรุ่งเช้าก็โทรหาพี่สองแถวคนเดิม 
ให้ช่วยไปส่งที่เดิมหน่อย ระหว่างที่ออกมาจากโรงแรม 
เพื่อนคุณบอยเหมือนนึกขึ้นได้ จึงขอให้สองแถวช่วยแวะตลาด 
เพื่อซื้อพวงมาลัยธูปเทียนผลไม้มา แล้วบอกสองแถวช่วยไปจอดที่เพิงนั้นหน่อย 
สองแถวก็บอกไปจอดอะไรตรงนั้น จอดไกล ๆ ก็ได้ 
เพื่อนก็รบเร้าขอให้จอดตรงนั้นเถอะ ผมขอล่ะ 
พี่สองแถวเลยถามว่า "อย่าบอกนะว่าน้องเจอยายมาแล้ว"
เพื่อนบอก ใช่ พี่รู้ได้ไง สองแถวไม่ตอบ บอกว่าจะทำอะไรทำไปเลย เสร็จจบหมดทุกอย่างเดี๋ยวพี่เล่าทีเดียว
ก็ลงไปจัดแจงจุดธูปไหว้ของตรงเพิงนั้น พร้อมคิดในใจว่า 
ไม่ว่ายายจะเป็นอะไรเป็นใคร ผมขอขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกผมเมื่อวาน แล้วก็ปักธูปเป็นเชิงไหว้เจ้าที่เจ้าทาง
คนขับรถก็พาขับเข้าไปในซอยนั้นไปถึงที่รถของคุณบอยจอดอยู่ที่เดิม ประตูก็เปิดค้าง 
คุณบอยเลยวิ่งเข้าไปเช็คข้าวของ ปรากฏว่าของทุกอย่างอยู่ครบ ไม่มีอะไรหายไปเลย 
จึงโล่งใจ สองแถวก็บอกแหงล่ะ แถวนี้มีใครกล้าเข้ามาที่ไหนล่ะ
คุณบอยกับเพื่อนจึงขอร้องให้พี่สองแถวช่วยไปตามหากุญแจด้วยกันหน่อยเผื่อว่าจะตกตามทางหรือในบ้าน

เค้าก็ตกใจว่า โห นี่พวกน้องใจกล้าขนาดเข้าไปในตัวบ้านเลยเหรอ จะเข้าไปจริง ๆ เหรอ คุณบอยก็ยืนยันจะเข้าไป 
พี่เค้าก็ใจดี บอกจะเข้าไปเป็นเพื่อน 
แต่กำชับว่า มองทางดี ๆ เดินตรงไปทางนี้ แล้วเดินให้ตรงอย่างเดียว อย่าเดินเฉออกจากทาง แล้วก้มมองพื้นดี ๆ เผื่อว่าเจอตกอยู่จะได้ไม่ต้องไปถึงตัวบ้าน เจอแล้วจะได้ออกมาเลย
แต่จนแล้วจนรอดเดินสุดทางจนถึงตัวบ้าน
ก็ไม่เจอกุญแจนั้น สุดท้ายก็เลยต้องแหวกหญ้าเข้าไปในตัวบ้านเพื่อหากุญแจรถ ก็พากันเดินเข้าไปสามคนด้วยความหวาดหวั่น บ้านในตอนนี้ยิ่งดูเก่ากว่าวันแรกที่เข้ามา ก็เข้าไปพยายามหากุญแจ เปิดประตูเข้าไป
ปรากฏสัตว์ต่าง ๆ ที่เจอเมื่อวานหายไปหมดเลย
สุดท้าคุณบอยกับเพื่อนก็พบว่า กุญแจรถวางอยู่บนโต๊ะใต้รูปที่วางผลไม้นั้น ทุกคนก็แปลกใจว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ไง
พอพี่สองแถวเข้าไปเงยหน้าเจอรูปคุณลุงเจ้าของบ้าน
ก็รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย บอกว่าไม่ได้ตั้งใจเข้ามา
อย่ามาหาผมเลยนะ แล้วก็หนีออกไปรอนอกบ้านด้วยความกลัว
เพื่อนก็ถามบอยหยิบมาวางหรือเปล่า 
คุณบอยก็บอก บ้า ใครจะล้วงกุญแจมาวางบนโต๊ะ ก็สำรวจดูไปดูมา พบวันเกิดวันมรณะบนรูปลุง และพบว่าเป็นลุงคนเดียวกันที่เดินออกจากประตู และเดินวนรอบรถในพงหญ้า

ก่อนจะคิดได้ว่า ที่คุณลุงอุตส่าห์โทรหาเราติดต่อเรามาแล้วมาให้เห็นขนาดนี้ พยายามตามติดขนาดนี้ 
แปลว่าอาจจะมีห่วง หรือต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร
ยังไงเดินดูบ้านให้แกหน่อยมั้ย ก็ตัดสินใจเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้าน ก็พบว่าที่มุมเสาด้านหนึ่ง มีปลวกขึ้นจริง ๆ 
กำลังก่อดินขึ้นมาใหม่ ๆ เลย





# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณบอย(ฉีดปลวก) The Ghost
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หลอนทั้งหมู่บ้าน



หลอนทั้งหมู่บ้าน 


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 12-13 ปี ที่จ.พิจิตร ในหมู่บ้านจะมีผู้หญิงคนนึงคุณผอมเรียกว่า พี่หญิง แกเป็นลูกสาวกำนัน อายุประมาณ 30 ยังไม่ได้แต่งงาน พี่หญิงแกเป็นคนสวย จะมีทั้งคนหนุ่มจนไปถึงคนแก่เที่ยวแวะเวียนกันมาจีบแต่พี่หญิงก็ไม่ได้สนใจใคร จนทางเกษตรอำเภอได้มีข้าราชการมาสำรวจพื้นที่ทำฝายกั้นน้ำและได้มานอนค้างบ้านกำนัน พี่หญิงก็ได้ชอบพอกับเกษตรอำเภอและตกลงว่าจะแต่งงานกัน ก่อนจะถึงงานแต่งประมาณ 1เดือน ตกเย็นก็มีผู้ชายคนนึงได้ปั่นจักรยานมาที่บ้านเรียกพี่หญิงออกไปคุยที่รั้วหน้าบ้าน พอเวลาประมาณ 2 ทุ่ม พี่หญิงก็คว้าจักรยานจะขี่ออกไป แม่ก็ถามว่าดึกดื่นแล้วจะออกไปไหน พี่หญิงแกก็บอกว่าจะไปหาเพื่อนซักหน่อยที่ท่าข้าม (ท่าข้ามคือที่ที่จะไปซักผ้ากันตามคลอง ถ้าเป็นคนแถวนั้นจะไม่ค่อยน่ากลัว) ว่าแล้วพี่หญิงแกก็ปั่นจักรยานออกไปโดยที่ไม่ได้กลับมาบ้านอีกเลย

พอคืนนั้นกำนันก็พาคนมาหากันที่ท่าข้ามห่างออกไปจากบ้านประมาณ 1 กม.กว่าๆ ซ้ายมือจะเป็นป่าไผ่รกๆและทึบ ขวามือก็จะเป็นทุ่งนาโล่งๆ คนก็ช่วยกันแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ชาวบ้านก็พากันคิดว่าน่าจะโดนฉุดไป จึงไปถามกับร่างทรงที่เชื่อถือได้ ร่างทรงก็บอกว่าลองกลับไปหาใหม่ที่ป่าไผ่แล้วครั้งนี้จะเจอ ทุกคนก็เริ่มใจไม่ดี แม่พี่หญิงเองได้ยินแบบนั้นก็ร้องไห้เพราะคิดไปต่างๆนาๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกแน่ พอกลับไปหาที่ป่าไผ่อีกครั้งก็เดินลึกเข้าไปจะเป็นคลองที่มีผักตบชวาซึ่งรกมาก ไม่มีใครใช้ประโยชน์แล้ว ก็เจอรองเท้าแตะก่อนแล้วก็ไปเจอศพของพี่หญิง ลักษณะคือท่อนบนเปลือย ท่อนล่างใส่ผ้าถุงสีดำ ตั้งแต่ใต้ลำคอจนถึงท้องน้อยโดนผ่าออก และพวกอวัยวะต่างๆก็ถูกแขวนตามต้นไผ่ แต่ด้วยความที่มันข้ามคืนข้ามวันไปแล้วก็ถูกนกมาจิกกินไปบ้าง ชาวบ้านไม่รู้จะทำยังไง จึงใช้กระสอบมาห่อศพไป แม่ของพี่หญิงเป็นลมไปหลายรอบ คนก็ต่างพากันว่าใครถึงได้ทำแบบนี้ แต่น่าแปลกตรงที่ตำรวจไปตรวจสภาพศพคือไม่มีร่องรอยการถูกข่มขืนแต่อย่างใด และพบว่าบริเวณหน้าผากมีรอยโดนมีดกีดลึกไปถึงกระดูกเป็นรูปกากบาทไว้ 

หลังจากนั้นก็เริ่มมีเหตุการณ์ความน่ากลัวต่างๆขึ้น โดยคืนหนึ่งตาซ้อนแกจะชอบจับกบจับเขียด แกต้องปั่นจักรยานผ่านดงไผ่ แกก็ไม่คิดอะไรเพราะแกเป็นคนใจถึง แต่พอผ่านมาแค่นิดเดียวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก น้า น้าซ้อน ..แกก็หยุดและหันไปมอง เห็นเป็นผู้หญิงเดินโซซัดโซเซออกมาจากป่าไผ่ ไม่ใส่เสื้อผ้า ตั้งแต่คอหอยมาถึงท้องน้อยแหวกออกเป็นโพรง ยืนตัวขาวซีดแล้วเรียกแก น้าซ้อนช่วยดูคนฆ่าฉันหน่อย ตาซ้อนไม่ฟังเสียงก็ทิ้งจักรยานวิ่งกลับบ้านไปเลย ชาวบ้านก็มีมาถามเรื่องนี้กับตาซ้อนแต่ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อเพราะแกเป็นคนเมา ฝ่ายแม่พี่หญิงพอรู้ข่าวว่าลูกสาวเป็นผีมาหลอกคนก็เป็นลมเพราะสงสารลูก 

ต่อมาก็มีผู้ใหญ่ได้ไปงานเลี้ยงกัน ซ้อนมอไซค์มา 2 คัน คันละ 2 คน ระหว่างทางก่อนจะถึงป่าไผ่ได้ประมาณ 4-5 วา อยู่ๆไฟหน้ารถก็ขาดพร้อมกันทั้ง 2 คัน ก็เลยจอดดู ลุงที่เป็นคนซ้อนก็เลยลงไปจุดยาสูบในตอนนั้นหางตาแกก็เหมือนเห็นเป็นขาคนอยู่ระดับคอ แกก็มองขึ้นไปดูแต่ก็ไม่มีอะไร ก็เลยตัดสินใจว่าจะขับไปแบบมืดๆ พอช่วงกำลังจะขับออกไปก็ได้ยินเสียงของหล่นข้างหลังดัง แผล๊ะ เหมือนน้ำอะไรราดลงมาหนักๆ แต่คนสมัยก่อนปากหนักก็ไม่มีใครทักท้วงอะไร จู่ๆได้ยินผู้หญิงพูดมาจากที่สูงว่า เก็บให้กูหน่อย เก็บให้กูหน่อย มองไปก็ไม่เห็นมีใครแต่พอมองลงมาที่พื้น แสงจากดวงจันทร์ก็ส่องมาเห็นเป็นกะเพราะคน ไส้อะไรต่างๆอยู่ที่พื้นมีหนอนเต็มไปหมด ในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่าที่ตรงนี้มีคนตาย ไอหญิงลูกสาวกำนันไง พอพูดเสร็จก็ได้ยินสียงกระโดดลงมาจากที่สูงลงไปที่ทุ่งนาหายไปเลย เรื่องนี้ก็เป็นที่โจษจันกันในหมู่บ้าน

พอถึงวันพระใหญ่ จะมีคนบ้าอยู่คนนึงนอนอยู่ศาลารอรถ ปกติไม่เคยพูดกับใครแต่วันนั้นช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็น คนบ้าได้วิ่งมาบอกคนในหมู่บ้านว่าคืนนี้ไอหญิงจะกลับมานะ คืนนี้ไอหญิงจะกลับมา เดี๋ยวมันจะกลับบ้าน พอวิ่งไปถึงหน้าบ้านกำนันก็บอก ลุง ไอหญิงจะกลับมาบ้านนะ ไอหญิงมันคิดถึงบ้าน พูดเสร็จก็วิ่งหายไปเลย ปรากฎว่าคนในหมู่บ้านก็รีบปิดบ้านกัน วัยรุ่นที่เคยไปเดินจีบสาว ตั้งวงกินเหล้ากันก็เข้าบ้านกันหมดด้วยความกลัว พอตกดึกเวลาซักประมาณเที่ยงคืนเสียงหมาหอนมาตั้งแต่ท้ายหมู่บ้านจนมาถึงป่าไผ่ สักพักมีเสียงเหมือนคนลากของ คนก็อยากรู้กันก็แอบบดู ด้วยความที่เป็นคืนเดือนหงายก็จะมองเห็นเป็นผู้หญิงคนนึงลากถุงมาในสภาพเปลือยท่อนบน ท่อนล่างใสผ้าถุงสีดำ มือนึงคว้าเอาร่างผู้หญิงอีกคนออกมาแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีหัว เอามายืนเคียงข้างกันแล้วก็ร้องไห้โหยหวย ส่วนร่างที่ไม่มีหัวก็โบกมือไปมาเหมือนกำลังควาญหาอะไรซักอย่าง คนก็ต่างพากันกลัว กลัวอะไรทั่งเหงื่อออกมือ เด็กก็ไม่กล้าร้องไห้  ซักพักนึงเสียงพากันเดินไปที่บ้านกำนัน ลุงกำนันก็เปิดไฟ ออกมาตะโกนเสียงดังหน้าบ้านว่า ทำไมมาหลอกชาวบ้าน ทำไมไม่หลอกไอคนที่ฆ่า มาหลอกชาวบ้านทำไม โอ้ยกูจะบ้าแล้ว แล้วกำนันก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด แต่คืนนั้นก็ยังไม่สงบ บางได้ยินเสียงเหมือนลูกมะพร้าวกลิ้งไปบนถนน ด้วยความกลัวคุณผอมเองแม้จะปวดฉี่ก็ไม่กล้าลงไปเข้าห้องน้ำ

ก็ได้พากันไปปรึกษาเกจิชื่อดังอีกอำเภอนึงที่มีคนนับถือเยอะ หลวงปู่ก็บอกมาประโยคนึงว่า ยังไม่ไปหรอก ยังไม่ถึงกาลเวลา ถ้าป่าไผ่ไม่ลุกเป็นไฟก็ยังไม่ไป เพราะเป็นที่ที่เค้าตายแต่เค้าพยายามดิ้นรนไม่อยากอยู่ ก็เลยถามหลวงปู่ว่าแล้วเค้าจะไปอยู่ที่ไหน จิตสุดท้ายเค้าอยากที่หมู่บ้าน เค้าคิดถึงพี่คิดถึงน้อง ก็เลยตัดสินใจเผาป่าไผ่ทั้งหมด แต่พอเผาไปหมดแล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลก ถ้าใครผ่านไปแถวนั้นตอนกลางคืนแล้วมองแค่ผ่านๆก็จะเห็นเหมือนผู้หญิงกึ่งนั่งกึ่งนอนหนอนจอมปลวกอยู่ตรงนั้น และแม่พี่หญิงเองก็เคยฝันว่าลูกสาวขึ้นบ้านไม่ได้เพราะไม่มีขาจะขึ้นมา ก็บอกให้แม่ไปตามหาคนที่ฆ่ามา และเรื่องนี้ก็จางหายไปตามกาลเวลา 

  จนถึงตอนนี้ก็ยังจับไม่ได้ว่าใครเป็นฆ่าแต่คาดว่าน่าจะเป็นคนในตำบลอื่นมาฆ่า โดยการรัดคอก่อนแล้วค่อยทำการชำแหละ และพักหลังมาแม่พี่หญิงก็มีอาการเพ้อ บางทีก็บอกว่า ไอหญิงมันอาบน้ำอยู่หลังบ้านโน่นแหน่ะ อาบนานแล้วยังไม่เห็นขึ้นมา ชาวบ้านต่างก็กลัวกัน






# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณผอม The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง


วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | ห้อง413


ห้อง413

 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง แถวบางมด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บ้านของคุณแท็บจะอยู่แถวพระประแดง ไม่ไกลจากมหาลัยที่กำลังศึกษาอยู่ในย่านบางมดมากนัก ใช้เวลาไปกลับประมาณครึ่งชั่วโมง
    คุณแท็บไปกลับแบบนี้ทุกวัน ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย คิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องอยู่หอ แล้วปีหน้าก็ต้องเริ่มทำวิจัย จึงได้หาหอพักอยู่แถวๆมหาลัย สิ่งที่คุณแท็บต้องการคือ ถูกและใกล้มหาลัย
    ก็เลยไปปรึกษากับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนแนะนำให้คุณแท็บเข้ามาดูหอที่เพื่อนกำลังเช่าอยู่ก่อน เพราะว่าค่าเช่าค่อนข้างถูก และใกล้มหาลัย ตรงตามที่คุณแท็บเรียกร้องทุกอย่าง จึงได้เข้าไปดูก่อนตัดสินใจ
    อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้มีทั้งหมดสามตึก ห้องของเพื่อนอยู่ตึกที่สอง ห้องค่องข้างกว้าง ดูโปร่ง ขวามือจะเป็นเตียง ถัดจากเตียงจะเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ตรงข้ามเตียงจะเป็นชั้นวางทีวี ถัดจากชั้นวางทีวีจะเป็นตู้เสื้อผ้า ถัดออกไปอีกจะเป็นห้องน้ำ

    คุณแท็บเห็นแล้วก็รู้สึกถูกใจมาก จึงได้สอบถามราคากับเพื่อน เพื่อนบอกว่าราคาสองพันห้า ค่ามัดจำเจ็ดพัน คุณแท็บจึงเดินไปสอบถามคุณป้าที่เป็นคนดูแลอพาร์ทเม้นท์ว่า "ป้าครับ มีห้องว่างมั้ยครับ"
    คุณป้าตอบว่า "ไม่มีหรอก มันเต็มหมดเลย" แต่ด้วยความที่คุณแท็บอยากเช่าอยู่ที่นี่ จึงคะยั้นคะยอคุณป้าต่อว่า "ป้าครับ ถ้ามีเนี่ย รบกวนหน่อยนะครับ" แล้วคุณแท็บก็ทิ้งเบอร์โทร

ไว้ให้คุณป้า พร้อมกับเอาเงินให้อีกร้อยนึง เหมือนเป็นค่าดำเนินการ
    เสร็จแล้วคุณแท็บก็กลับบ้าน แล้วเวลาสองทุ่มของวันนั้นเอง คุณป้าโทรมาบอกกับคุณแท็บว่า "มีห้องว่างห้องนึง ห้องสี่หนึ่งสาม อยู่ตึกในสุด ชั้นสี่ เอามั้ย" คุณแท็บดีใจมาก ถึงแม้จะรู้สึกตะหงิดๆ แต่เพราะความอยากได้ห้อง จึงตอบตกลงไปทันที

    วันรุ่งขึ้น คุณแท็บก็ขึ้นไปดูห้อง โดยมีคุณป้าเดินนำหน้า แต่พอเดินมาถึงชั้นสาม คุณป้าหันกลับมายื่นกุญแจให้คุณแท็บ แล้วบอกว่า "อ่ะนี่ เดินขึ้นไปอีกชั้นนึงนะ ห้องสิบสาม อยู่ทางขวามือ เสร็จแล้วก็เดินลงมาหาป้าละกัน"
    พูดจบ คุณป้าก็เดินลงบันไดไป โดยที่ไม่รอฟังคำถามหรือคำตอบใดๆ จากคุณแท็บเลย ถึงคุณแท็บจะงงๆ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงเดินขึ้นไปชั้นสี่ มองหาห้องสิบสามทางขวามือ แล้วเสียบกุญแจไขเข้าไปในห้อง
    จังหวะที่เปิดประตู มีลมอุ่นๆ กลิ่นอับๆ พุ่งออกมาจากในห้อง เหมือนกับเป็นห้องที่ไม่ได้เปิดให้ใช้งานมาเป็นเวลาหลายปี คุณแท็บก้าวเข้าไปในห้อง ถึงแม้จะรู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ ทั้งๆที่ภายในห้องก็เหมือนกับห้องของเพื่อนทุกอย่าง

    คุณแท็บเงยหน้ามองพัดลมบนเพดานเก่าๆ ที่อยู่กลางห้อง มันก็เป็นแค่พัดลมธรรมดา แต่มันกลับทำให้คุณแท็บเย็นวูบไปทั้งตัว เหมือนมีคลื่นอะไรสักอย่าง วิ่งตั้งแต่หัวลงไปถึงเท้า
    ความกลัวเล็กๆ เริ่มผุดขึ้นในใจของคุณแท็บ เป็นความกลัวที่หาสาเหตุไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังกลัวอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าภายในห้องจะดูโล่งกว้าง แต่เวลามองไปรอบๆห้องทีไร กลับรู้สึกอึดอัด เหมือนกับว่าผนังและเพดานห้อง มันค่อยๆบีบตัวเข้ามาเรื่อยๆ เป็นความรู้สึกที่คุณแท็บไม่เคยประสบมาก่อน
    ปกติแล้ว คุณแท็บเป็นคนที่ไม่มีเซ้นส์ แต่สัญชาตญาณกลับพยายามเตือนว่าให้ออกไปจากที่ให้เร็วที่สุด ทำให้เริ่มสองจิตสองใจ คิดว่าจะสามารถทนอยู่ในห้องนี้ได้นานแค่ไหน แต่เพราะความที่อยากมีห้องใกล้มหาลัย ประกอบกับค่าเช่าที่แสนถูก จึงปลอบตัวเองในใจว่า "ไม่เป็นไร มันคงไม่มีอะไรหรอก"

    คุณแท็บก้าวออกจากห้องแล้วปิดประตู แต่เหมือนจะเห็นอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร จึงเปิดประตูกลับเข้าไปในห้อง แล้วแหงนหน้าขึ้นไปมอง ปรากฏว่ามียันต์ท้าวเวสสุวรรณสีแดง แผ่นเท่าฝ่ามือ ติดอยู่เหนือวงกบประตู

    คุณแท็บหัวตื้อไปชั่วขณะ การที่มียันต์ติดอยู่หน้าห้องก็นับว่าหลอนพอแล้ว แต่นี่กลับติดอยู่ด้านในห้อง ตามความเข้าใจทั่วไป ถ้าติดไว้หน้าห้อง คือการป้องกันอะไรที่ไม่ดีต่างๆ ไม่ให้เข้ามาในห้อง แต่การที่ติดไว้เหนือวงกบประตูภายในห้อง มันหมายความว่า กันอะไรบางอย่าง ออกไปนอกห้องหรือเปล่า
    ความสงสัยปนความกลัว ตีกันในหัวของคุณแท็บจนยุ่งไปหมด สุดท้ายก็ต้องกลับมาปลอบใจตัวเองเหมือนเดิม ว่ามันคงไม่มีอะไร จึงเดินลงไปทำสัญญากับคุณป้าข้างล่าง แต่ด้วยความสงสัย คุณแท็บจึงถามคุณป้าว่า "ป้าครับ ทำไมในห้องมียันต์ด้วย"
    ป้าหันมามองหน้าแล้วตอบว่า "ไม่มีอะไรหรอก น่าจะเป็นของเด็กคนเก่าที่เค้าเอามาติดไว้" แม้ว่าคุณแท็บพอจะมองออกว่าเป็นการตอบแบบปัดๆ แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ที่มันดันมาติดอยู่ด้านใน

    คุณแท็บถามกับคุณป้าว่า "ป้าครับ ตกลงห้องนี้เท่าไหร่ ผมขอกลับไปคิดก่อนได้มั้ย ผมยังไม่แน่ใจ เพราะรู้สึกไม่ค่อยดีกับห้องนี้" คุณป้าพูดแบบตะกุกตะกักว่า "เออ งั้น เอางี้ ป้าลดให้เหลือเดือนละ...สองพันอะ ค่ามัดจำป้าเอาสี่พันพอ"
    มันเป็นโปรที่ค่อนข้างล่อตาล่อใจมาก สำหรับคนที่ต้องการของถูก ป้าพูดเสร็มขึ้นอีกว่า "ถ้าไม่รีบ มีคนอื่นมาจอง ป้าไม่รู้นะ" คุณแท็บที่ต้องการของถูก รีบตอบตกลงทันที ทำสัญญาเช่าเสร็จสรรพ
    แต่ตอนที่กำลังทำสัญญา วิธีการมันดูง่าย กิ๊กก๊อก แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่เพราะความถูกมันบังตา คุณแท็บจึงไม่คิดอะไรมาก หลังจากนั้น ก็กลับไปเก็บของที่บ้าน และย้ายเข้าหอคืนวันนั้นเลย มีเพื่อนสองคนมาช่วยยกของ
    ตอนนั้นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ในขณะที่กำลังถือของเข้ามา ก็เจอเข้ากับ รปภ คนหนึ่ง เข้ามาทักทายว่า "หวัดดีครับ ย้ายมาอยู่ใหม่เหรอครับ" แล้วก็เดินเข้ามาช่วยคุณแท็บถือของ

    คุณแท็บตอบว่า "ใช่ครับ" ทุกคนเดินหิ้วของไปที่ตึกหลัง เดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสาม อยู่ๆ รปภ ก็ถามขึ้นว่า "น้อง ย้ายเข้าไปห้องไหนครับ" คุณแท็บตอบว่า "ห้องสี่หนึ่งสามครับ"
    รปภ วางของลงบนพื้น แล้วก็พูดว่า "เดี๋ยวพี่ช่วยแค่นี้นะ" แล้วก็เดินจ้ำลงไปข้างล่างทันที คุณแท็บมองตามหลัง แล้วพูดออกมาเบาๆว่า "รีบไปไหนของเค้าวะ" แต่ตอนนั้นไม่อยากคิดอะไรมาก จึงรีบช่วยกันขนของเข้าไปในห้อง เสร็จแล้วเพื่อนก็ขอตัวกลับ

    คุณแท็บกวาดห้องจัดของเสร็จ ก็เข้านอนทันทีเพราะความเหนื่อย คืนนั้นเอง คุณแท็บฝันว่าเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง มีผู้หญิงผมสั้น ตัวสูง ผิวขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกข้างเตียง
    ในระหว่างที่คุณแท็บกำลังมองดูผู้หญิงคนนั้น กับตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง สักพักผู้หญิงคนนั้นก็ลุกเดินมาที่ปลายเตียง ส่งยิ้มให้คุณแท็บที่กำลังนอนอยู่บนเตียง แล้วพูดว่า "ขออยู่ด้วยได้มั้ย"


    คุณแท็บเห็นตัวเองตอบว่า "อยู่ได้ยังไง นี่ห้องผม" จากที่ผู้หญิงทำหน้าตายิ้มแย้ม แต่กลายเป็นว่าทำหน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธจัด พูดแบบกระชากเสียงว่า "กูขอมาอยู่กับได้มั้ย" คุณแท็บมีความรู้สึกว่ากลัวผู้หญิงคนนี้มาก
    จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องมืดๆ หายใจถี่ เหงื่อผุดออกเต็มตัว ความกลัวยังคงตามออกมาจากความฝัน ภาพของผู้หญิงคนนั้นเด่นชัดขึ้นในหัว จนคุณแท็บตัวสั่นเหมือนคนจับไข้
    คุณแท็บรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟทันที ตอนนั้นเวลาประมาณตีหนึ่งครึ่ง พยายามคิดทบทวนว่าความฝันเมื่อครู่มันคืออะไร หรือเป็นแค่อาการของคนที่กลัวจนเก็บเอาไปฝัน คุณแท็บนั่งสวดมนต์ทุกบทที่พอจะนึกออก แล้วล้มตัวลงนอน

    ตื่นเช้าขึ้นมา คุณแท็บคิดว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นแค่ความฝัน พยายามอย่าไปคิดอะไรมาก จนตกกลางคืน ก่อนนอนคุณแท็บไหว้พระสวดมนต์ ปิดไฟนอน ปรากฏว่าฝันเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ตัวเองคือคนที่นอนอยู่บนเตียง พอมองไปที่ข้างๆเตียง
    ผู้หญิงผมสั้นก็ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตามเดิม แต่นั่งก้มหน้า และเหมือนจะรู้ว่าคุณแท็บกำลังมองอยู่ ผู้หญิงผมสั้นจึงค่อยๆลุกขึ้นเดินไปที่ปลายเตียง แล้วเงยหน้าขึ้นมองคุณแท็บ ภาพที่เห็นทำให้คุณแท็บหยุดหายใจไปชั่วขณะ
    ลักษณะใบหน้าขาวซีด ออกสีม่วงเป็นจ้ำๆ ริมฝีปากดำ ตาแดงก่ํา แล้วกระโจนขึ้นมานั่งคร่อมตัวคุณแท็บ จ้องหน้าด้วยความอาฆาต คุณแท็บตกใจกลัวจนแทบคลั่ง รู้สึกจุกที่หน้าอก หวาดกลัวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
    พยายามนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ แต่กลับไม่เป็นผล ผู้หญิงคนนั้นยังคงนั่งคร่อมอยู่บนหน้าอก ดวงตาแดงก่ําเหมือนคนเป็นโรคอะไรสักอย่าง จ้องคุณแท็บเหมือนคนที่กำลังโกรธจัด ทำเสียง "หื่มๆๆ" อยู่ตลอดเวลา

    คุณแท็บมีความรู้สึกเหมือนกับอยากตายให้รู้แล้วรู้รอดไป จังหวะนั้น ภาพของคุณแม่ก็แวบเข้ามาในหัว คุณแท็บตะโกนเรียกคุณแม่จนสุดเสียง ความกดดันทุกๆอย่าง หลุดออกทันที จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน

    คุณแท็บนั่งหายใจหอบ เหมือนคนที่ขาดอากาศหายใจจนเกือบจะหมดลม เนื้อตัวเย็นเฉียบ แต่เหงื่อกับผุดออกมาท่วมตัว อาจจะเป็นเพราะความกลัวที่มันมีอยู่มากจนเกินไป คุณแท็บรีบวิ่งไปเปิดไฟให้สว่าง เพื่อขับไล่ความมืดภายในห้อง ตอนนั้นเป็นเวลาตีหนึ่งครึ่ง

    คุณแท็บกดโทรศัพท์หาเพื่อนที่อยู่ตึกสองทันที แล้วบอกให้เพื่อนขึ้นมานอนด้วย เพราะจิตตกเกินกว่าจะอยู่คนเดียวได้ หลังจากที่เพื่อนขึ้นมาหาบนห้อง คุณแท็บก็เล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง เพื่อนแนะนำว่าให้ลองไปไหว้เจ้าที่ดูก่อน
    จนถึงคืนต่อมา ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายที่คุณแท็บได้อาศัยอยู่ที่ห้องแห่งนี้ คืนนั้นคุณแท็บโทรไปชวนเพื่อนให้ขึ้นมานอนด้วยตั้งแต่หัวค่ำ แต่เพื่อนติดธุระออกไปเที่ยวข้างนอก คุณแท็บจึงต้องจำใจอยู่ห้องคนเดียว
    พยายามไม่คิดอะไรมาก เปิดบทสวดต่างๆในยูทูปฟังให้ใจสงบ แล้วก็ปิดไฟนอน ในขณะที่คุณแท็บกำลังเคลิ้มหลับ ผู้หญิงคนนั้นก็โผล่ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ต่างจากเดิมตรงที่ครั้งนี้คุณแท็บยังไม่ได้หลับ
    คุณแท็บรีบนึกถึงคุณแม่ก่อนทันที แต่ครั้งนี้กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ พยายามจะอ้าปากตะโกนเรียกให้คนข้างห้องเข้ามาช่วย แต่กลับทำไม่ได้ รวมไปถึงขยับเขยื้อนตัวด้วย

    ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืน ในขณะที่กำลังก้มหน้าอยู่ แล้วเดินลากเก้าอี้พลาสติกไปตรงกลางห้อง จากนั้นก็ขึ้นไปเหยียบบนเก้ากี้ แล้วใช้เชือกมัดที่พัดลมบนเพดาน เสร็จแล้วก็เอาอีกด้านมาคล้องคอตัวเอง ภาพทุกอย่างเปินไปอย่างเชื่องช้า
    เสี้ยววินาทีต่อมาก็ถีบเก้าอี้ที่ยืนอยู่จนล้ม ทำให้ตัวเองลอยแคว้งอยู่ในอากาศ ผู้หญิงคนนั้นดิ้นทุรนทุราย ยกมือขึ้นจับเชือก พยายามดึงตัวเองขึ้นไปเหมือนกำลังหาอากาศหายใจ ช่วงลำตัวกระตุกเกร็ง ถีบขาไปมา ลิ้นค่อยๆโผล่ออกมาจุกปาก จนมือทั้งสองข้างตกลงมาข้างลำตัว แล้วแน่นิ่งไป
    ศพของผู้หญิงคนนั้นโยกไปมาเล็กน้อย อยู่ตรงกลางห้อง เป็นภาพที่น่าหวาดผวาจนเกินจะรับไหว แต่อยู่ๆ ศพที่ห้อยไปมาอยู่ในอากาศก็ลืมตาจ้องมาทางคุณแท็บ แสยะยิ้มด้วยความสะใจ ที่เห็นคุณแท็บทำหน้าตกใจสุดขีด

    คุณแท็บมีความรู้สึกเหมือนคนหมดหนทาง ได้แต่พูดในใจว่า "ผมกลัวแล้ว ผมไม่อยู่ที่นี่แล้ว ผมขอโทษ" แล้วก็คิดถึง ร.ห้า สักพักภาพของผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆจางหายไป จนคุณแท๊บสามารถขยับตัวได้
    คุณแท็บรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ แล้ววิ่งออกไปยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้อง โดยที่ยังไม่ได้ปิดประตู ทำให้มองเห็นนาฬิกาภายในห้องบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง สิ่งที่ช่วยย้ำเตือนคุณแท็บว่ามันไม่ใช่ความฝันก็คือ เก้าอี้ที่ล้มอยู่กลางห้อง
    และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ พระพุทธรูปที่คุณแท็บเอามาตั้งไว้ตรงข้ามกับเตียงนอน ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา ตอนนี้กลับหันหน้าเข้าฝาผนัง เหมือนมีคนไปจับพระพุทธรูปหมุนกลับหลัง

    คุณแท็บเอื้อมมือเข้าไปปิดไฟ แล้วเดินลงมาหา รปภ ข้างล่าง ยืมโทรศัพท์มากดโทรหาเพื่อน ให้เพื่อนรีบมาหาตอนนี้เลย รปภ ก็ถามคุณแท็บว่าเป็นอะไร เพราะอาการของคุณแท็บดูไม่ปกติเอามากๆ คุณแท็บตอบแค่สั้นๆว่า "ผมไม่ไหวแล้ว"
    หลังจากที่เพื่อนกลับมาถึง คุณแท็บก็ขึ้นไปที่ห้องของเพื่อน เสร็จแล้วก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เจอมาให้เพื่อนฟัง และด้วยความเพลีย เหมือนกับว่าไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวัน พอหัวถึงหมอน คุณแท็บก็หลับทันที

    เช้าขึ้นมา สิ่งแรกที่คุณแท็บทำ คือเข้าไปคุยกับคุณป้า "ป้า ป้าบอกผมมาเลยนะ ห้องนั้นมันมีอะไร" คุณป้าตอบกลับมาว่า "ไม่มีอะไรหรอก" คุณแท็บพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยว่า "ป้าไม่ต้องมาโกหกผม ผมนอนไม่ได้มาสามวันแล้ว ป้ารู้มั้ยผมเจออะไร" แล้วคุณแท็บก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณป้าฟัง
    พอคุณป้าได้ยินเช่นนั้นก็ทําหน้าเจื่อนๆ แต่ก็ยังพูดว่า "ไม่มีอะไรหรอก คิดไปเองดิ เล่นยาหรือเปล่า" คุณแท็บรู้สึกโมโห

จึงพูดว่า "ป้า ถ้าป้าไม่บอกผมนะ ผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ถ้าเรื่องถึงหูเจ้าของหอ ดูซิเค้าจะไล่ป่าออกหรือเปล่า"
    คุณป้าเริ่มทำหน้าเครียด คุณแท็บจึงพูดต่อว่า "งั้นเอางี้ป้า เงินมัดจำอะ ผมไม่เอาคืนก็ได้ ป้าเล่าให้ผมฟังหน่อย ยังไงผมก็ไม่อยู่แล้ว ก่อนจะออกก็อยากจะรู้ จะได้สบายใจ"

    คุณป้ายอมเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนห้องนี้เคยมีนักศึกษาที่เป็นแฟนกัน มาเช่าอยู่ด้วยกัน อยู่กันตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่ มีอยู่วันหนึ่ง ผู้ชายออกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนข้างนอก ผู้หญิงก็แอบเช็คเฟสบุ๊ค ไปเจอว่าผู้ชายแอบไปมีคนอื่น
    ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก และตอนนั้นก็อยู่คนเดียว จึงตัดสินใจผูกคอตายใต้พัดลมเพดาน แฟนกลับมาเห็นศพในช่วงเวลาตีหนึ่งครึ่ง จึงได้โทรแจ้งตำรวจ คุณแท็บก็ถามถึงเรื่องยันต์ที่ติดไว้ในห้อง

    คุณป้าบอกว่า ตอนที่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้นใหม่ๆ ชั้นสี่ไม่มีใครอยู่ได้เลย จนตึกหลังแทบจะเป็นตึกร้าง เพราะคนที่เช่าอยู่ มักจะได้ยินเสียงในเคาะห้อง ลักษณะเหมือนเสียงคนเคาะไปตามประตูห้องต่างๆ พอเปิดออกมาดูก็ไม่พบใคร ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ เสียงเคาะจากอีกด้านหนึ่งของผนังห้องที่อยู่ชั้นสี่ ส่วนคนที่อาศัยอยู่ข้างๆห้องสี่หนึ่งสาม จะได้ยินเสียงเก้าอี้ล้มกระแทกพื้น ในช่วงกลางดึกของทุกๆคืน พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังออกมาจากในห้อง


    เจ้าของหอจึงหายันต์มาแปะไว้ในห้อง เหมือนกับเป็นการสะกดไว้ให้อยู่แต่ในห้อง หลังจากนั้น คุณแท็บก็ได้ไปคุยกับ รปภ ได้ความว่า เจ้าของหอได้ปิดตายห้องนั้นมานานแล้ว คุณแท็บก็เลยคิดว่า คุณป้าน่าจะแอบเปิดให้คุณแท็บเข้าไปพักเอง โดยแอบเก็บเงินค่ามัดจำกับค่าเช่าห้องเข้าประเป๋าตัวเอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด






# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณแท็บ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | โรงพยาบาลบ้า




โรงพยาบาลบ้า

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทางภาคใต้ เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องของพี่ชายที่เป็นคนรู้จักของคุณคิง ชื่อว่าพี่นก พี่นกแกเป็นคนที่ดื่มเหล้าหนักมาก จนแฟนของแกพาไปเลิกเหล้าที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ที่นี่จะแบ่งเป็นเขต สำหรับผู้ป่วยทางจิต และผู้ที่ต้องการจะเลิกเหล้า

    พี่นกก็ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำการบำบัด วิธีการบำบัดในทุกๆวันที่อยูในโรงพยาบาล ก็จะใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้โดนกักบริเวณเหมือนผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาท ตกเย็นก็จะมียาแจกให้ สำหรับคนที่เคยดื่มเหล้าตอนเย็นทุกๆวัน
    ยาตัวนี้จะทำให้มีอาการซึมๆ จนเหมือนคนเบลอ บางคนที่มีอาการหนักๆ ถึงกับนั่งน้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว พี่นกก็จะปฏิบัติแบบนี้ทุกวัน ใช้เวลาบำบัดทั้งหมดสองเดือน การที่จะเข้ารับการบำบัด จะต้องให้ทางญาติเซ็นชื่อรับรู้หมดทุกอย่าง
    ภายในห้องจะมีเตียงนอนเรียงกันอยู่หลายๆเตียง มีผู้เข้ารับการบำบัดหลายคน แต่จะมีคุณลุงอยู่คนนึง นอนอยู่เตียงฝั่งตรงข้าม ซึ่งกลางวัน พี่นกแกจะไม่เคยเห็นคุณลุงคนนี้เลย แล้วได้ข่าวแว่วๆว่า คุณลุงคนนี้ติดเหล้าหนักมาก แต่จะหักดิบเลิกให้ได้

    พี่นกจะเห็นคุณลุงคนนี้เฉพาะตอนเย็นเท่านั้น แล้วจะมีพยาบาลเอาสายมารัดตัวของคุณลุงให้ล็อคติดกับเตียง เพราะตกกลางคืน คุณลุงจะคลุ้มคลั่งโวยวาย ทุกคนต้องทนนอนฟังเสียงของคุณลุงร้องโวยวายทุกคืน จนถึงตอนที่ได้รับยา พอได้รับยามาทุกคนจะเริ่มเบลอจนหลับ

    พี่นกแกเข้ารับการบำบัดมาจนเกือบจะครบหนึ่งเดือน อาการก็เริ่มดีขึ้น จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องกินยาอีกต่อไป หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว พี่นกก็ถามคุณป้าคนที่เอาอาหารมาส่งว่า "ป้า ลุงเตียงนั้นเค้าไปไหน" คุณป้าหันมามองหน้าพี่นก แล้วพูดกระแทกเสียงว่า "ตายไปแล้ว"

    พี่นกแกก็นึกในใจว่า ทำไมคุณป้าถึงพูดบบนั้น หรืออาจจะไม่อยากคุยกับคนขี้เหล้าอย่างแก แล้วคุณป้าก็ดูเป็นคนขี้หงุดหงิด เวลาเดินไปไหนมาไหนจะไม่เห็นว่าคุยกับใครเลย
    หลังจากที่พี่นกกินยาเข้าไป ก็เห็นคุณลุงเตียงฝั่งตรงข้ามเดินเข้ามานอนลงที่เตียง แล้วหันมาพยักหน้าให้พี่นกเบาๆ พี่นกก็หยักหน้าตอบ จนยาเริ่มกล่อมประสาททำให้พี่นกมีอาการเบลอ คุณลุงก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีกเหมือนทุกคืน
    จนรุ่งเช้าของอีกวัน พี่นกก็ไม่เห็นคุณลุงอีกแล้ว โดยปกติจะต้องมีคนพาคุณลุงมานอนที่เตียง แต่สองสามวันที่ผ่านมา คุณลุงจะเดินกลับมาเอง แล้วก็มานอนเอง โวยวายคลุ้มคลั่งเอง

    วันต่อมา เป็นวันที่จะครบหนึ่งเดือนของพี่นกพอดี ตกกลางคืน คุณลุงก็เดินเข้ามาเงียบๆ นั่งลงที่เตียงเหมือนเดิม แล้วหันมาพยักหน้าให้พี่นก พี่นกก็พยักหน้าตอบ แล้วรีบกินยาทันที เพราะต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนที่คุณลุงจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวจะนอนไม่ได้
    ในขณะที่ยากล่อมประสาทในตัวของพี่นกเริ่มออกฤทธิ์ พี่นกเห็นคุณลุงเริ่มหงุดหงิด พลิกตัวไปมาเหมือนคนทรมาน เปลือกตาของพี่นกเริ่มปิดลงเรื่อยๆ ภาพสุดท้ายที่เห็น ปรากฏว่าคุณลุงดีดตัวลุกขึ้นมายืนบนเตียง ทำหน้าโกรธจัด มองมาทางพี่นก แล้วตะโกนเสียงดังลั่นว่า "มีอะไร! สงสัยอะไร!" จนสติของพี่นกหลุดหายเข้าไปในภวังค์

    พอพี่นกตื่นเช้ามา ก็ไม่พบคุณลุงนอนอยู่บนเตียงอีกตามเคย ช่วงเย็น พี่นกก็ถามกับคุณป้าที่เอาอาหารมาให้ว่า "ไหนป้าบอกว่าลุงคนนั้นตายไง ผมยังเห็นแกกลับเข้ามานอนอยู่ทุกคืน แล้วเมื่อคืนแกก็ยังมาคุยอะไรกับผมอยู่เลย แต่ผมจำไม่ได้"
    คุณป้าหันมาจ้องหน้าพี่นกแล้วพูดกระชากเสียงว่า "ก็บอกว่ามันตายไปแล้วไง" พี่นกได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะแกรู้ตัวว่าแกก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน เดี๋ยวเรื่องมันจะยาว
    พี่นกก็หันมาคุยกับเตียงข้างๆ เป็นคุณลุงที่บำบัดมาด้วยกันว่า "ทำไมแกพูดจาอย่างงี้นะ ตายเตยอะไร เค้ายังอยู่" คุณลุงที่นอนเตียงข้างๆชำเรืองมองไปที่เตียงของคุณลุงที่คลุ้มคลั่งทุกคืน แล้วก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่ต้องไปใส่ใจเหรอ ถึงเวลาก็กินยานอนซะไอ้หนุ่ม"

    คืนนั้น พี่นกก็เห็นคุณลุงเดินเข้ามานอนลงที่เตียงอีกเหมือนเดิม พี่นกกินยาเข้าไปจนรู้สึกกำลังเคลิ้ม อยู่ๆคุณลุงก็กระชากตัวลุกขึ้นยืน ทำตาดุ มองมาทางพี่นกแล้วพูดว่า "สงสัยอะไร! เอ็งสงสัยอะไรนักหนา!"
    ตกอีกวันหนึ่ง พี่นกก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณลุงเตียงข้างๆฟัง คุณลุงก็พูดว่า "เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เค้าบอกว่าลุงคนนี้ตายไปแล้วนะ" พี่นกก็เลยแย้งไปว่า "งั้นที่ผมเจอก็ไม่ใช่คนดิ" คุณลุงตอบเสียงนิ่งๆว่า "ก็น่าจะไม่ใช่คน"

    พี่นกได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน จึงได้ทำเรื่องขอกลับบ้าน แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่อนุญาต เพราะยังไม่ครบกำหนดสองเดือน และต้องให้ญาติมารับตัวกลับ พี่นกจึงขอย้ายห้อง ทางโรงพยาบาลบอกว่าต้องรอให้หมอมาเช็คก่อน
    สักพักหมอก็เข้ามาตรวจอาการพี่นก พี่นกบอกกับหมอว่า "ไม่ต้องให้ยาแล้วก็ได้ เพราะทุกวันนี้ไม่ได้รู้สึกอยากเหล้า นอนหลับได้เป็นปกติดี" หลังจากที่หมอตรวจอาการเสร็จแล้ว หมอก็บอกว่า "งั้นเดี๋ยวคุณย้ายไปอยู่อีกตึกนึง สำหรับเตรียมที่จะรอให้ญาติมารับ"

    พี่นกจึงได้ย้ายไปอยู่ตึกใหม่ สภาพห้องจะดีกว่าตึกเดิมมาก เหมือนกับโรงพยาบาลทั่วไป มีทีวี มีเตียงรวมตั้งอยู่หลายๆเตียง และไม่แยกชายหญิง เพราะเป็นตึกสำหรับผู้ที่มีอาการดีขึ้นจนเกือบจะปกติ

    พี่นกสังเกตเห็นว่าในห้องนี้มีผู้ป่วยอยู่สองคน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี มาบำบัดเรื่องสารระเหย อีกคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบปี พี่นกแกก็เข้าไปคุยกันปกติ
    ตกกลางคืน พี่นกก็นอนดูทีวีอยู่ตรงแถวๆหน้าห้อง ภายในห้องจะปิดไฟทั้งหมด ทำให้ห้องดูทึบๆสลัวๆ แต่ผู้ป่วยหญิงทั้งสองคนกลับหนีไปนอนคลุมโปงอยู่ที่มุมห้องหลังสุด คุณนกก็สงสัยว่าทำไมถึงต้องไปนอนเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมห้อง เตียงในห้องก็มีตั้งเยอะแยะ
    เป็นแบบนี้อยู่ประมาณสามสี่คืน จนพี่นกทนความสงสัยไม่ไหว ตกกลางวันพี่นกจึงถามกับน้องผู้หญิงว่า "กลัวผีกันเหรอ" น้องผู้หญิงทำตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า "พี่อย่าพูดอย่างงี้ดิ"

    พี่นกก็พูดว่า "พี่พึ่งจะเจอมาหมาดๆ พี่ยังไม่เห็นเป็นเหมือนเราเลย" แล้วพี่นกแกก็เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่ไปเจอมาในตึกบำบัด พี่ผู้หญิงที่อายุสี่สิบก็พูดขึ้นมาว่า "อย่าพูดถึงน่ะดีที่สุดแล้ว"

    พี่นกพูดต่อว่า "อ่าว ผมพูดถึงแล้วมันเป็นไรพี่ เค้าอยู่คนละตึกกัน เค้าคงไม่ตามมาหรอก" พี่นกแกก็รั้น ทำเป็นไม่กลัว เวลาที่ผู้หญิงสองคนนี้เดินผ่าน ก็มักจะแกล้งพูดแซวอยู่บ่อยๆว่า "ระวังผีหลอกนะ"

    คืนนั้น ผู้หญิงทั้งสองคนก็ยังทำเหมือนเดิม คือนอนชิดมุมห้อง ส่วนพี่นกก็นั่งดูทีวีอยู่หน้าห้อง แต่อยู่ดีๆ ทีวีก็ดับพรึ่บ พี่นกจึงหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิด แต่กดยังไงก็ไม่ติด จึงเดินไปเขย่งเท้าขึ้นกดปุ่มเปิดทีวี
    ทีวีก็สว่างวาบขึ้นมา แกหันหลังจะกลับไปนั่งที่เดิม ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่บนเตียง ข้างๆเตียงที่แกนั่งดูทีวีอยู่ เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ นั่งกอดเข่า เอาคางเกยบนเข่าอีกที ใส่ชุดของโรงพยาบาล

    พี่นกจึงถามไปว่า "อ่าว มานั่งดูทีวีตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วน้องย้ายมาห้องนี้ตอนไหน" ผู้หญิงคนนี้ยังคงนั่งกอดเข่าทำตาไร้แวว ตอบเสียงนิ่งๆว่า "ดูทีวีด้วยค่ะ" พี่นกแกจึงบอกว่า "อ๋อดูเลยครับดูเลย จะดูอะไรอีกมั้ย" แล้วแกก็ยื่นรีโมทให้ แต่รู้สึกขนลุกแปลกๆ เพราะเสียงที่ตอบกลับมา มันมีบางอย่างที่ผิดปกติ
    ผู้หญิงคนนี้เหลือบตามองพี่นกแบบหน้านิ่งๆ พี่นกจึงตะโกนไปหาผู้หญิงสองคนที่นอนคลุมโปงอยู่มุมห้องว่า "เนี่ย มีคนมาดูด้วยเนี่ย ไม่มาดูด้วยกันไง๊" แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

    พี่นกรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นคงยังไม่หลับแน่ๆ แต่ก็งงว่าทำไมถึงไม่พูดไม่ตอบอะไร จึงหันไปเปิดรายการทีวีที่ผู้หญิงมักจะชอบดู เพื่อเอาใจผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่นกนั่งดูทีวีอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆก็เอาแต่เงียบ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น นั่งนิ่งไม่ขยับเหมือนเป็นหินที่ไม่มีชีวิต ไม่มีลมหายใจ

    พี่นกเลยถามว่า "จะนอนหรือเปล่า ถ้านอนเดี๋ยวพี่ปิดทีวีให้" ผู้หญิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ ค่อยๆยืดตัวขึ้นช้าๆ หันหน้ามาหาพี่นก แล้วพูดว่า "แค่ช่วยเบาๆหน่อยก็ได้ค่ะ ไม่ต้องเหมือนทุกวัน" ถึงจะเป็นการตอบแบบปกติ แต่พี่นกก็รู้สึกไม่ค่อยดี แต่อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร
    จึงถามกลับว่า "อะไรนะ ให้เบาๆลงหน่อยใช่มั้ย" แกก็หันไปคว้ารีโมทแล้วหันกลับมา ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนนี้อ้าปากกว้างจนผิดปกติ แทบจะอมหัวคนได้ทั้งหัว ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนไม่มีเลือด ดวงตากลมโตสีดำเข้ม หัวเราะ "แหะๆๆๆๆ" จ้องหน้าพี่นกในท่านั่งกอดเข่า

    พี่นกเห็นแบบนั้นก็ตกใจกลัวร้องกรี้ดออกมาเหมือนคนสติแตก ดีดตัวถอยหลังจนก้นจ้ำเบ้า เนื้อตัวเย็นเฉียบจนเหมือนศพ ผู้หญิงสองคนที่นอนอยู่มุมห้องรีบกระโดดลงจากเตียง วิ่งถลาแข่งกันออกนอกห้องแบบไม่คิดชีวิต จนชนเข้ากับเตียงนอนลมคว่ำไปหลายตัว
    ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงอ้าปากค้าง นั่งกอดเข่า เหลือบตามองมาทางพี่นก เปล่งเสียงแปลกๆ เหมือนกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ออกมาอยู่ตลอดเวลา "แหะๆๆๆๆๆ"

    พี่นกพยายามรวบรวมสติลุกขึ้นยืน หลับตาลง กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกนอกห้อง เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาด ยังคงดังไล่หลังมาเรื่อยๆ เหมือนกับว่าสิ่งนั้นกำลังเดินอ้าปากตามหลังออกมาด้วย จนพี่นกเดินไปชนเข้ากับชั้นวางของที่อยู่แถวๆหน้าห้อง มีบุรุษพยาบาลสองคนวิ่งเข้ามาล็อคตัว เพราะคิดว่าพี่นกเกิดอาการคลุ้มคลั่ง

    พี่นกรวมทั้งผู้หญิงสองคนที่วิ่งออกมาก่อนหน้านั้น ก็ช่วยกันอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น บุรุษพยาบาลพูดในทำนองว่าเพ้อเจ้อกันไปเอง และไล่ให้พี่นกกับผู้หญิงอีกสองคนเข้าไปนอนในห้องตามเดิม

    พี่นกก็บอกกับบุรุษพยาบาลว่า "ถ้าพวกคุณคิดว่าไม่มีอะไร พวกคุณก็เข้ามากับผมสิ" บุรุษพยาบาลยืนอ้ำๆอึ้งๆ สรุปแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปด้วย ได้แต่ขยับไม้กระบองในมือเบาๆ เป็งเชิงขู่ พร้อมกับพูดเสียงดังว่า "เข้าไปเลย เข้าไปอยู่ในห้อง"

    พี่นกกับผู้หญิงอีกสองคนจึงต้องจำใจ เดินเข้าไปนั่งรวมกันที่มุมห้อง มีแค่แสงไฟจากจอทีวีฉายส่องออกมา ทำให้เห็นภายในห้องสลัวๆ เป็นห้องที่ออกจะกว้างขวาง มีเตียงหลายสิบเตียง เรียงรายกันอยู่จนเกือบเต็มห้อง แต่ทุกเตียงไม่มีคนนอน จึงเป็นภาพที่ดูแล้วน่าขนลุก
    ส่วนทีวีที่เปิดอยู่ กลับเปลี่ยนช่องไปมาได้เอง เหมือนมีคนนั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องอยู่ตลอดเวลา พี่นกพยายามชะเง้อมองดูที่เตียงแถวๆหน้าทีวี ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว ถ้างั้นแล้ว ทีวีมันเปลี่ยนช่องของมันเองได้ยังไง


    คืนนั้น พี่นกจึงนอนคลุมโปงตัวสั่นจนถึงเช้า ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ พอถึงตอนเช้า พี่นกรีบโทรหาแฟนให้มารับทันที แล้วแฟนก็โทรมาบอกกับคุณคิงว่า "คิง ว่างมั้ยเนี่ย ไปรับพี่นกกับพี่หน่อย ไม่รู้เป็นไรเนี่ย โทรมาละล่ำละลักเลย" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด






# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณคิง The Ghost
-Story by The Ghost Radio
- คลิปจากยูทูป

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | นิทานก่อนหลอน



นิทานก่อนหลอน

หตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดลำปาง เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่คุณแคร์เรียนอยู่ประมาณ ม.1 ในยุคนั้น เด็กผู้ชายจะฮิตเล่นพิเรนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการโทรไปที่เบอร์อาถรรพ์ หรือเบอร์แปลกๆ
    เล่ากันว่า จะมีเสียงเล็กแหลมตอบมาจากปลายสาย คล้ายๆเสียงของเปรตร้อง คุณแคร์ก็ฮิตเล่นเหมือนกัน ในระหว่างที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ในโรงเรียน เพื่อนคนนึง ชื่อนุ้ย เดินเข้ามาคุยกับคุณแคร์ว่า "แคร์ กล้าโทรไปเบอร์พวกนี้ทุกเบอร์เลยเหรอ"

    คุณแคร์ตอบว่า "กล้าโทร สนุกดี" คุณนุ้ยก็เลยยื่นเบอร์มาให้คุณแคร์เบอร์นึง แล้วบอกว่า "ลองโทรไปเบอร์นี้ดู" คุณแคร์หยิบมาดู ก็เห็นว่ามันเป็นเบอร์บ้าน จึงพูดขึ้นว่า "อ่าวนี่มันเบอร์บ้านคนไม่ใช่เหรอ" คุณนุ้ยตอบว่า "ลองโทรดูก่อน"

    ตกคืนนั้น คุณแคร์ลองโทรเข้าไปตามเบอร์ที่คุณนุ้ยให้มาทันที ในใจคิดว่าคุณนุ้ยอาจจะแกล้งอ้ำเล่นๆ สักพักก็มีคนรับสาย เป็นเสียงของผู้หญิงพูดเบาๆว่า "ฮัลโหล" คุณแคร์ก็ตอบกลับว่า "ฮัลโหล สวัสดีครับ"

    แล้วรอดูเชิงว่าเพื่อนแกล้งจริงๆหรือเปล่า แต่ปลายสายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เหมือนกับว่ากำลังฟังอยู่ จนสักพักใหญ่ๆ อยู่ดีๆปลายสายก็เริ่มเล่านิทานขึ้นมาว่า มีแม่หมีกับลูกหมีอยู่ในป่า เสียงที่เล่ามีลักษณะเรียบๆ

    คุณแคร์พยายามพูดว่า "ฮัลโหลๆ นุ้ยหรือเปล่า แกล้งกันเหรอ" แต่ปลายสายก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณแคร์พูด ยังคงเล่านิทานต่อไปเรื่อยๆ พอเล่าได้สักพัก ปลายสายก็เริ่มไอ เสียงไอเหมือนกับคนที่เป็นโรคอะไรสักอย่าง พยายามสูดอากาศเข้าแรงๆ แล้วไอออกมา

    จนคุณแคร์เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ มันไม่น่าปกติ จึงรีบวางหูทันที จนผ่านไปสักพัก คุณแคร์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง ปรากฏว่ายังได้ยินเสียงไอมาจากปลายสายเหมือนเดิม คุณแคร์กลัวมาก จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว รีบวางสาย แล้วเดินถอยหลังออกจาดโทรศัพท์ เหมือนคนตกใจในอะไรบางอย่าง

    พอตั้งสติได้ ก็รีบเดินไปดึงสายโทรศัพท์ที่ด้านหลังออกทันที พอถึงรุ่งเช้าของวันต่อมา หลังจากที่คุณแคร์ไปถึงที่โรงเรียน ก็รีบเข้าไปถามคุณนุ้นทันทีว่า "นุ้ย โทรไปแล้วอ่ะ มันอะไรเนี่ย มันคืออะไรเหรอ แกล้งหรือเปล่า"

    คุณนุ้ยทำหน้าตกใจ แล้วพูดว่า "โทรไปจริงๆเหรอ แล้วมีคนรับมั้ย" คุณแคร์ตอบว่า "มี เป็นผู้หญิงรับ พอเค้ารับแล้ว เค้าก็.." ยังไม่ทันทีคุณแคร์จะพูดต่อ คุณนุ้ยพูดสวนขึ้นมาว่า "เล่านิทานใช่มั้ย"

    คุณแคร์เริ่มใจไม่ดี ถามคุณนุ้ยต่อว่า "มันเรื่องอะไรนุ้น บอกหน่อย" คุณนุ้ยบอกว่า "เอางี้ โรงเรียนเลิก มาบ้านกู จะพาไปดูอะไรบางอย่าง" หลังจากโรงเรียนเลิก คุณแคร์เดินกลับไปเอาจักรยานที่บ้าน แล้วปั่นตามคุณนุ้ยไป

    คุณแคร์ไม่เคยไปบ้านของคุณนุ้ยมาก่อน ลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์หมดทั้งซอย มีแยกออกไปหลายๆซอย เป็นหมู่บ้านใหญ่ๆ รอบๆหมู่บ้านจะมีแต่ต้นฉําฉาต้นใหญ่ๆ สลับกับทุ่งนาโล่งกว้าง

    คุณนุ้ยพาคุณแคร์เข้าทางหลังหมู่บ้าน ลัดเลี้ยวไปตามซอยต่างๆ คุณแคร์สังเกตว่า ถึงหมู่บ้านแห่งนี้จะใหญ่ แต่จะเป็นทาวน์เฮ้าส์ร้างสะส่วนใหญ่ สภาพบ้านเก่าทรุดโทรม สีหลุดลอก ตะไคร่น้ำสีดำๆเกาะอยู่เป็นจุดๆ ดูน่าขนลุกแปลกๆ

    คุณนุ้ยพาคุณแคร์เลี้ยวเข้าไปในซอยหนึ่ง ทำให้คุณแคร์ขนลุกยิ่งกว่าเดิม เพราะทั้งซอยจะไม่มีคนเช่าอยู่เลย จนคุณนุ้ยไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วชี้มือเข้าไปในบ้าน พร้อมกับพูดว่า "เนี่ย ไอ้แคร์ บ้านหลังเนี่ย คือบ้านที่เราโทรไป"

    คุณแคร์มองเข้าไปในตัวบ้าน เห็นผู้หญิงผมยาวแอบมองอยู่ที่หลังผ้าม่านชั้นสอง คุณแคร์คิดในใจว่า มันก็เป็นบ้านคนปกติ ถึงมันจะดูเก่าไปหน่อยก็เถอะ จึงหันไปถามคุณนุ้ยว่า "แล้วให้โทรไปทำไม" คุณนุ้ยตอบว่า "เดี๋ยวมาบ้านกูก่อน จะเล่าให้ฟัง"

    จนมาถึงบ้าน คุณนุ้ยก็เล่าให้ฟังว่า ที่บ้านหลังนั้น เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว มีสองผัวเมียอยู่ด้วยกัน แล้วผู้หญิงเกิดท้องขึ้นมา ทำให้ผู้ชายไม่พอใจ เพราะว่าตัวผู้ชายเองเป็นหมัน คิดว่าแฟนตัวเองไม่ซื่อสัตย์ จึงฆ่าปาดคอผู้หญิงที่กำลังท้องอยู่
    เป็นที่โจษจันกันทั้งหมู่บ้านว่า บ้านหลังนี้เฮี้ยนมาก จนบ้านที่อยู่ในระแวกเดียวกันต้องย้ายออก และเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องของคุณนุ้ยมาเที่ยวหาที่บ้าน และเหมือนว่ามาลองดีกัน โดยลองโทรเข้าไปในบ้านหลังนั้น

    ลูกพี่ลูกน้องบอกว่า มีผู้หญิงรับสายแล้วเล่านิทานให้ฟัง แต่ตัวคุณนุ้ยเองไม่เชื่อ จึงลองเอาเบอร์มาให้คุณแคร์ลองโทรเข้าไปดู คุณแคร์บอกว่า "มันมีคนรับจริงๆ เดียวจะเล่าให้ฟัง" แต่คุณนุ้ยพูดตัดขึ้นมาว่า "พอเหอะ กลัวว่ะ"

    คุณนุ้ยจึงไปหยิบเครื่องเกมออกมาเล่นแทน เพื่อที่จะได้ลืมความกลัว คุณแคร์กะว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงจะรีบกลับบ้าน เพราะกลัวว่ามันจะมืด แต่เกิดติดลม จนเวลาล่วงไปถึงสี่ทุ่ม

    คุณแคร์จึงยืมโทรศัพท์ โทรให้พ่อมารับ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองดันไปดึงสายโทรศัพท์ออกแล้ว คุณแคร์เลยบอกให้คุณนุ้ยไปส่งที่ท้ายหมู่บ้าน เพราะว่าจำซอยไม่ได้ แต่คุณนุ้ยตอบสั่นๆว่าไม่ เพราะว่ากลัว แต่จะบอกทางให้แทน ว่าเลี้ยวไปตรงไหนบ้าง

    คุณแคร์ไม่มีทางเลือก ต้องปั่นจักรยานกลับเอง คุณแคร์เดินออกมาจากบ้านของคุณนุ้ย รู้สึกว่าบรรยากาศมันช่างต่างกันกับเมื่อตอนเย็นอย่างลิบลับ บ้านทุกหลังปิดไฟมืด มีเพียงแค่แสงไฟสีส้มๆจากหลอดไฟกลมๆ ที่มัดติดกับเสาไม้เก่าๆข้างทาง ตั้งห่างกันประมาณสิบเมตร
    แม้ที่นี่จะเรียกได้ว่าเป็นชุมชน แต่กลับให้ความรู้สึกเงียบเหงาวังเวง เหมือนกับว่าเป็นชุมชนร้างยังไงยังงั้น คุณแคร์แข็งใจ ปั่นจักรยานไปตามทางที่เพื่อนบอก เจอทางแยกก็หักขวาทันที แต่ปรากฏว่ามันเป็นทางตันมืดๆ

    คุณแคร์ยืนพินิจอยู่นาน จึงลองปั่นตรงไปเลี้ยวเข้าที่ซอยอื่น ลัดเลาะไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางออกหลังหมู่บ้านให้ได้ โดยพยายามเลี่ยงที่จะผ่านหน้าบ้านที่เกิดเหตุ แต่จนแล้วจนรอด คุณแคร์ก็ปั่นมาจนถึงซอยที่บ้านหลังนั้นอยู่จนได้

    คุณแคร์จอดจักรยาน ยืนกลั้นใจอยู่หัวซอย มองฝ่าความมืดไปที่ท้ายซอย จำได้ว่าเลี้ยวขวาตรงท้ายซอย ก็จะเป็นทางออกหลังหมู่บ้าน แต่ปัญหามันอยู่ตรงกลางซอย บ้านหลังนั้นตั้งดำทะมึนอยู่ทางขวามือ แถวๆกลางซอย บ้านทั้งสองข้างถนนปิดำฟมืดทุกหลัง ดูแล้วทำให้รู้สึกใจสั่นเป็นพักๆ

    คุณแคร์สูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆเดินจูงจักรยานไปจนเกือบจะถึงบ้านหลังนั้น ลองชะโงกหน้ามองไปบนชั้นสองห้องบ้าน เห็นเป็นห้องมืดๆที่มีผ้าม่านปิดไว้ คิดทบทวนไปถึงคนที่เห็นเมื่อตอนเย็น หรือตัวเองอาจจะตาฝาดไปเอง ที่เห็นผู้หญิงยืนอยู่หลังผ้าม่าน
    จึงขึ้นขี่จักรยาน แล้วค่อยๆปั่นผ่านหน้าบ้านไปอย่างปกติ จนสามารถเห็นตัวบ้านเต็มๆ หางตาก็เห็นอะไรบางอย่าง จึงเหลียวไปมองทันที ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นยืนแอบอยู่ข้างหน้าต่างบนชั้นสอง แล้วมองลงมาที่คุณแคร์

    ทันทีที่คุณแคร์หันไปมอง ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆเดินออกมาจากมุมหน้าต่าง ให้คุณแคร์ได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ใส่เสื้อยืดสีขาว แต่เหมือนกับมีคราบเลือดไหลลงจากคอจนเปื้อนไปถึงกางเกง และที่สำคัญ ตำแหน่งของลำคอไม่ได้ตั้งตรงปกติ แต่กลับห้อยตกลงมาบนไหปลาร้า มีเสียงไอ "แค๊กๆ" เบาๆ เหมือนที่คุณแคร์เคยได้ยินผ่านโทรศัพท์ไม่มีผิด
    คุณแคร์รู้สึกเหมือนกับไร้เรี่ยวแรง ไม่รู้ว่าตัวเองยืนช็อกอยู่นานแค่ไหน จนมาได้สติก็ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเริ่มไอเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ คุณแคร์รวบรวมสติเท่าที่มี ออกแรงปั่นจักรยานเต็มที่ จนผ่านมาประมาณสามหลัง
    รู้สึกระแวงหลังอยู่ตลอดเวลา จึงได้หันกลับไปมอง ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นชะโงกตัวออกมาจากรั้วหน้าบ้าน ไออยู่ตลอดเวลา "แค๊กๆๆๆ" แล้วจ้องมาทางคุณแคร์ ทำให้คุณแคร์สะดุ้งจนตัวโก่ง ร้องตะโกนโวยวายจนสุดเสียง ให้บ้านหลังไหนก็ตามได้ยิน แล้วช่วยออกมาด่ามาว่าอะไรบ้างก็ยังดี
    แต่ทุกหลังกลับเงียบสนิด เหมือนกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในซอยแห่งนี้เลย คุณแคร์หลับหูหลับตาปั่นไปจนถึงปลายซอย หักเลี้ยวขวาเพื่อที่จะตรงออกท้ายหมู่บ้าน จังหวะนั้นคุณแคร์ลองหันกลับไปมองอีกครั้ง

    ภาพที่เห็นคือ เห็นผู้หญิงคนนั้นยืนคอพับอยู่กลางถนน โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วแหงะหัวขึ้นมามองเล็กน้อย ทำท่าเหมือนกำลังจะออกตัววิ่ง คุณแคร์เห็นแบบนั้นก็ตกใจกลัวสุดขีด ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย จนรู้สึกจุกหน้าอก นึกในใจว่านี่ถึงกับจะวิ่งไล่กันเลยเหรอ รีบใส่แรงปั่นจักรยานสุดตัว ใจเต้นแรงจนมันจะทะลุออกมาจากอก หลับหูหลับตาปั่นโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เสียงของโซ่จักรยานลั่นดัง "แกร่งๆๆ" เหมือนกับว่ามันจะขาดซะให้ได้
    จนมาถึงร้านขายข้าวโต้รุ่ง คุณแคร์พุ่งเสียบเข้าข้างร้าน แล้วลงมานั่งพักริวฟุตบาต นั่งหอบหายใจด้วยความเหนื่อย พยายามสงบสติจนรู้สึกดีขึ้น จึงรีบปั่นจักรยานกลับบ้านให้เร็วที่สุด
    คุณแคร์นอนจับไข้ฝันร้ายอยู่สองถึงสามวัน และต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ กว่าความกลัวมันจะเริ่มคลายออกไปเรื่อยๆ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด






# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณแคร์ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง







เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | น้องไม่กลัวพี่เหรอ......


น้องไม่กลัวพี่เหรอ......

เรื่องราวเกิดขึ้นกับเพื่อนคุณแคร์ ที่ชื่อคุณโตโต้

เริ่มมาจาก แคร์และโตโต้เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน อายุ33ปี แต่โตโต้จะมีผมหงอกเยอะกว่าคนรุ่นเดียวกัน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก...
เมื่อประมาณ8ปีที่แล้ว โตโต้และแฟนย้ายหอพักไปอยู่ย่านหลักสี่ เป็นหอพักซอยตัน 5ชั้น
โตโต้พักอยู่ห้อง505 ซึ่งมีประตูเชื่อมสามารถเปิดไปหาห้อง606ได้
หลังจากย้ายของเสร็จ แฟนของโตโต้ได้ขอกลับบ้านต่างจังหวัด
หลังจากที่ไปส่งแฟนขึ้นรถ เมื่อเดินกลับมาที่ห้อง ก็ได้ยินเสียงห้อง606 เคาะประตูเชื่อมดังขึ้น
โตโต้จึงเดินไปเปิดประตู พร้อมกับที่อีกฝั่งก็เปิดออกมาเหมือนกัน
"สวัสดีครับ น้องเพิ่งย้ายมาใหม่หรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ พี่ชื่อพี่ยุทธ น้องชื่ออะไร"
ก็มีการพูดคุยทักทายแนะนำตัวกัน แต่โตโต้เกิดมาสะดุดที่คำถาม "กลัวผีรึเปล่า?"
จึงรู้สึกแปลกใจ "พี่มีอะไรรึเปล่า?"  พี่ยุทธจึงตอบมาว่า "ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกได้
พี่อยู่ห้องตลอด"
คืนแรก โตโต้ยังรู้สึกแปลกที่ จึงนอนไม่ค่อยหลับ จนกระทั่งเวลาประมาณตี2
ก็ได้ยินคล้ายมีเสียงหนูอยู่ใต้เตียง กุกๆ กุกๆ จึงคิดหาวิธีเอาหนูออกมาจากใต้เตียง
ขณะที่นอนคิดอยู่นั้น เสียงก็เริ่มดังขึ้น คล้ายเสียงตบข้างเตียง และเสียงตะกุย กุกๆกักๆ
ขณะกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ก็ได้ยินเสียงคล้ายตบเตียงดัง พลั่ว! ไม้ที่ประกอบข้างเตียงก็หลุดออกมา
โตโต้ก็ตกใจจึงลุกยืนบนที่นอน เฮ๊ย! ไม้มันหลุดออกมาได้ไงอ่ะ! แล้วจึงรีบเดินไปเปิดไฟ
และใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดู ก็ไม่พบอะไร  ไม่มีหนู มีแต่ฝุ่นและหยากไย่
จึงได้สรุปว่า อาจเป็นเพราะเตียงเก่า น็อตจึงคลายตัวทำให้ฝาเตียงหลุดออกมา
ขณะกำลังจะซ่อมเตียง ก็ได้ยินเสียงพี่ยุทธเคาะประตูเรียกมาทางประตูเชื่อมห้อง ก็อกๆ
"น้องพี่ได้ยินเสียงน้องโวยวาย มีอะไรรึเปล่า"
"ไม่มีอะไรครับพี่ เตียงมันน่าจะลั่น"
พี่ยุทธก็พูดทีเล่นทีจริง "หรอ... พี่นึกว่าน้องโดนซะแล้ว"
พฤติกรรมของพี่ยุทธ ทำให้โตโต้คิดว่า แกคงจะเป็นคนที่ปากเสียมากๆคนนึง
คืนแรกผ่านไป โดยที่โตโต้ไม่กล้านอน จึงนั่งดูทีวีเรื่อยไปจนเช้า
จนคืนที่สอง โตโต้ยังรู้สึกนอนไม่ค่อยหลับ เวลาผ่านไปใกล้ตี2เหมือนเดิม
ก็มีเสียงดังจากใต้เตียงดังขึ้นมาอีก เริ่มจากเสียงเบาๆและดังขึ้นเรื่อยๆ
โตโต้รู้สึกว่าจะต้องมีอะไรสักอย่าง จึงคิดว่าจะทำยังไงดี จะลุกไปเคาะห้องพี่ยุทธให้มาอยู่เป็นเพื่อนดีรึเปล่า
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น แผ่นไม้ข้างเตียงก็เปิดแผละ! ออกมา 
คราวนี้โตโต้จึงลองดูว่าถ้าแผ่นไม้หลุดออกมาแล้วเสียงที่ดังนั้นจะหายไปรึเปล่า
เมื่อมองไปที่แผ่นไม้ ฝั่งเตียงด้านที่หลุด ก็เห็นเป็นมือผู้หญิง ซีดๆเล็กๆ ยื่นขึ้นมา ยื่นขึ้นมา... จนถึงครึ่งแขน 
แล้วก็หักข้อมือ ตบลงบนที่นอน ผับ! ผับ! คล้ายควานหาอะไรบางอย่าง
โตโต้ตกใจจนรู้สึกว่าไม่มีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกายแล้ว และพยายามขยับตัวมากลางเตียง
และทำตัวให้เล็กที่สุด มือนั้นก็ค่อยๆหดลงไป แต่กลับมีอีกมือหนึ่ง! ยื่นออกมาจากอีกฝั่งของเตียง
และตบลงบนเตียง คล้ายควานหาสิ่งของอะไรบางอย่าง และความสลับจากมือซ้ายไปขวา 
และยื่นขึ้นมาพร้อมกันสองมือ โตโต้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนทำตัวให้นิ่งที่สุดบนเตียง
แล้วมืดก็ค่อยๆหดลงไปทั้งสองข้าง โตโต้จึงคิดว่าจะลุกไปปลุกพี่ยุทธ
ยังไม่ทันขยับตัว ก็ได้ยินเสียงลากอะไรบางอย่างอยู่ข้างเตียง จึงผงกหัวเบาๆขึ้นดู
เห็นร่างคนอยู่ข้างเตียง แต่ไม่มีหัว มีแต่ตัวและแขน และไม่มีขา!!!
ลากตัวไปมา เหมือนหาอะไรอยู่ นาทีนั้นโตโต้ทำอะไรไม่ถูก เพราะสิ่งนั้นไม่หายไปเสียที
จึงตัดสินใจวิ่งกระโดดไปที่ประตูเชื่อมห้อง เพื่อเคาะเรียกพี่ยุทธ "พี่.. พี่ครับ พี่!!!"
" เออ อะไรน้อง อะไรๆๆ" พี่ยุทธก็เปิดประตูออกมา "พี่ ผีหลอก! ผีหลอก!"
จึงเล่าเหตุการณ์ให้พี่ยุทธฟัง พี่ยุทธจึงบอกให้ใจเย็นๆ น้องฝันไปรึเปล่า
แล้วก็บอกว่า คนก่อนหน้านี้ ก็เจอ แต่ไม่หนักเท่าน้อง
ในขณะที่ยืนคุยกันอยู่นั้น โตโต้ก็หันหน้ากลับไปมองที่เตียงห้องตัวเอง
พี่ยุทธก็ถามกลับมาว่า "น้องกลัวผู้หญิงคนนั้นหรอ?" "กลัวซิพี่" แต่สายตาของโตโต้ก็ยังมองไปที่เตียง
"แล้ว.. น้องไม่กลัวพี่หรอ..."
โตโต้จึงหันหน้าขวับ กลับมามองพี่ยุทธ ก็ไม่เห็นพี่ยุทธยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว!!! 
ก็พบว่าห้องพี่ยุทธกลายเป็นห้องว่างเปล่า ที่ไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงจากระเบียงสาดเข้ามาให้เห็นว่า
ทั้งห้องร้าง เตียงไร้ผ้าปู และตู้เสื้อผ้าที่เปิดทิ้งไว้
เหตุการณ์ตรงหน้า!! ทำให้โตโต้ลืมเรื่องผู้หญิงคนนั้นไปทันที และทรุดตัวเข่าอ่อนลงตรงหน้าประตูนั้น
ขณะที่นั่งเข่าอ่อนมองห้องว่าเปล่านั้นอยู่ ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องพี่ยุทธ มีกระจกบานใหญ่ มีเงาหน้าพี่ยุทธยืนอยู่ในกระจก!!!
"น้องไม่กลัวพี่เหรอ    น้อง..... ไม่กลัว... พี่เหรอออออออออออ"
โตโต้ขนหัวลุก ขนหัวลุกมากที่สุดในชีวิตและฉี่ราดออกมาทันที รีบตะเกียกตะกายเปิดประตู และวิ่งหนีออกมาจากห้องทันที
วิ่งลงบันไดไปหน้าปากซอยนั่งพักหน้าเซเว่น ในสภาพชุดนอนที่ฉี่ราด 
และได้ขอยืมเหรียญจากพนักงาน เซเว่นโทรหาแฟน จนกระทั่งเช้ามืด แฟนจึงมารับ 
เหตุการณ์นี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โตโต้ผมหงอก เร็วกว่าปกติ
และเมื่อจะย้ายออกจากห้องนั้น จึงได้ไปสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้น  ทำให้ทราบ
ห้องที่เกิดเรื่องนั้นมีหญิงไทยและสามีชาวจีนอาศัยอยู่ ผู้หญิงเป็นชู้กับผู้ชายห้องข้างๆ
ชายจีนจึงได้ฆ่าชู้ตาย และฆ่าหั่นศพผู้หญิง ทยอยเอาศีรษะและขาไปทิ้ง 
ซ่อนส่วนลำตัวเอาไว้ใต้เตียง ยังไม่ทันเอาตัวไปทิ้ง ก็ถูกตำรวจจับได้เสียก่อน





# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณแคร์ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน

หญิงสาว เที่ยงคืน เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ท...