วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - รักที่ถูกกีดกัน


รักที่ถูกกีดกัน

         เรื่องนี้คุณอาร์มนั้นฟังมาจากเพื่อนอีกทีนึง เพื่อนคนนี้ชื่อว่า โจ้ ซึ่งเมื่อก่อนคุณอาร์มและโจ้นั้นได้ทำงานอยู่ที่กรุงเทพด้วยกัน แต่ช่วงหลังเพื่อนก็กลับมาทำงานที่บ้าน ที่จังหวัดเพชรบุรี และก็ไม่ได้ติดอะไรกันเลย จนเมื่อประมาณต้นปีเพิ่งได้เจอกัน แล้วเพื่อนคุณอาร์มก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณอาร์มฟังว่า วันนั้นที่ขนของกลับมาจากกรุงเทพ มาถึงบ้านประมาณ 5-6 โมงเย็น บ้านที่โจ้อยู่นั้นเป็นอาคารพานิชย์ โดยก่อนหน้านี้น้องชายของโจ้นั้นอยู่ แต่ว่าน้องชายก็ไปอยู่บ้านแม่ที่ชลบุรีแล้ว จึงทำให้โจ้ต้องอยู่ที่บ้านนี้คนเดียว ตอนที่กำลังขนของเข้าบ้านนั้น โจ้ก็มองไปเจอน้องที่อยู่ข้างบ้านคนนึงชื่อว่า เกด ซึ่ง น้องเกด นั้นโจ้เคยแอบชอบมานานแล้ว โจ้ก็เลยเดินเข้าไปทักน้องเกดว่า สบายดีมั๊ย ไปตามประสา นิสัยส่วนตัวของโจ้นั้นค่อนข้างที่จะเจ้าชู้ ก็เลยคิดว่า กลับมาบ้านว่างๆก็ว่าจะจีบน้องเกดดีกว่า โจ้เลยถามต่อว่า มีแฟนหรือยัง น้องเกดก็บอกว่า หนูเพิ่งเลิกกะแฟนค่ะ ก็เข้าทางโจ้เลยทีนี้ โจ้ก็แอบหยอดๆไปว่า งั้นเดี๋ยวพี่ดามใจให้ คุยกันไปซักพัก โจ้ก็ถามว่า เกดอยู่บ้านกับใคร น้องเกดก็บอกว่าอยู่กับแม่ แม่ของน้องเกดชื่อว่าป้านี

โจ้ก็ชวนน้องเกดว่าไปกินข้าวกับพี่มั๊ย น้องเกดก็บอกว่า มันจะดีหรอพี่ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน โจ้ก็บอกว่างั้นไม่เป็นไร งั้นไปคุยที่ศาลาก็ได้ ซึ่งที่หมู่บ้านของโจ้นั้นจะมีศาลาอยู่กลางหมู่บ้าน และตรงนั้นจะเป็นบริเวณที่วิ่งออกกำลังกายของคนในหมู่บ้าน และก็มีต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่ตรงศาลานั้นด้วย แล้วโจ้กับน้องเกดก็นั่งคุยกันไปจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม โจ้ก็ส่งน้องเกดเข้าบ้าน เสร็จแล้วโจ้ก็เข้าบ้านตัวเองไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวเสร็จ ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกว่า ไอหนูๆ โจ้ก็เปิดออกมาดู ก็เห็นเป็นป้านีแม่ของน้องเกดมาหา โจ้ก็ยกมือไหว้ ป้านีก็ถามโจ้ว่า เพิ่งกลับมาหรอลูก โจ้ก็บอกว่าใช่ครับ คุยกันสักพัก ป้านี่พูดมาคำนึงว่า ไอหนูเอ้ย อย่าไปยุ่งกับเกดมันเลย เกดมันเพิ่งเลิกกับแฟนมา แม่ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ โจ้ก็ตอบกลับไปว่า ครับๆ ไม่ยุ่งหรอกครับ แต่ในใจลึกๆ โจ้มันคิดอยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องจีบให้ได้

พอตอนเช้าโจ้ต้องออกไปทำงานแต่เช้า พอออกจากบ้านมาก็เจอน้องเกด ก็เลยชวนน้องเกดว่า คืนนี้พี่เลิกงานแล้วไปคุยกันที่ศาลาดีกว่า น้องเกดก็ยิ้มรับปาก พอหลังเลิกงาน โจ้ก็กลับมาอาบน้ำ แล้วก็ไปรอน้องเกดที่ศาลาตอนทุ่มนึง โจ้ก็รอไปรอมา จนถึง 3 ทุ่มแล้วน้องเกดก็ยังไม่มา แล้วก็คงคิดว่าน้องเกดคงไม่มาแล้วแหละ โจ้ก็กำลังจะกลับบ้าน ก็เห็นป้านีเดินเข้ามา พอป้านีมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาถึงก็ด่าเลยว่า  กูพูดแล้วใช่มั๊ยว่า อย่ามายุ่งกับลูกกู เพราะลูกกูเพิ่งเจ็บมา ไปหาคนอื่นเหอะ อย่ามายุ่งกับลูกกู แล้วโจ้ก็กลับบ้านด้วยอาการนอยด์ๆ เซ็งๆ พอมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงน้องเกดทะเลาะกับแม่ประมาณว่า แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ ใครมายุ่งกับหนูก็ไม่ได้ แม่ก็เที่ยวไปมีปัญหากับทุกคนแหละ ตอนนั้นโจ้ก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้เลิกยุ่งดีกว่า


พอเช้ามาอีกวันนึง ออกจากบ้านมาก็เจอน้องเกดอยู่หน้าบ้าน เหมือนจะร้องไห้ โจ้ก็เดินไปคุยกะเกิดว่า เกดพี่พูดตามตรงนะ ถ้าแม่ไม่ชอบขนาดนี้พี่ไม่ยุ่งด้วยดีกว่า น้องเกดก็บอกว่าหนูรู้อยู่แล้วว่าพี่รับหนูไม่ได้แล้วก็ร้องไห้นิดๆหน่อยๆแล้วก็ซึมๆ ต่างคนต่างพูดไม่ออก แต่ด้วยความที่นิสัยโจ้เป็นคนเจ้าชู้ ก็คิดว่าไม่ต้องจริงใจก็ได้ ประมาณว่าแค่มีไรกันแค่นี้ก็จบๆกันไป โจ้ก็เลยบอกกับน้องเกดว่า เอางี้ พี่ไม่เลิกคุยกะหนูก็ได้ แต่คืนนี้เกดไปรอพี่ที่เดิมนะ แต่ว่าหนูต้องไปนะ น้องเกดก็ตอบตกลง หลังจากเลิกงาน โจ้ก็ไปรอที่ศาลาเหมือนเดิม รอบนี้น้องเกดก็มาตามนัด ก็นั่งคุยกันไปตามปกติ และโจ้ก็ถามน้องเกดว่า ทำไมแม่หนูถึงโกรธพี่ขนาดนี้ น้องเกดก็ตอบว่า พี่ แม่หนูตายแล้วนะ แม่หนูตายมาประมาณ 2 เดือนแล้ว แต่ว่าโจ้นั้นไม่เชื่อเลยบอกน้องเกดไปว่า พี่ไม่เชื่อ ถ้าป้านีตายไปแล้ว เมื่อวานเขาจะมาว่าพี่ได้ไง แล้วก็ตอนที่น้องเกดทะเลาะกับแม่พี่ก็ได้ยินนะ น้องเกดก็บอกกลับไปว่า พี่หูฝาดหรือเปล่า ถ้าพี่อยากรู้จริงๆ พี่กล้าไปที่วัดกะหนูมั๊ย ด้วยความที่โจ้ไม่ได้เป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว แล้วก็อยากรู้ด้วย ก็เลยไป น้องเกดก็พาโจ้ไปที่วัด แล้วเดินที่ตรงเจดีย์ที่เป็นโกฐิเก็บกระดูก แล้วน้องเกดก็พูดว่า ถ้าพี่ไม่เชื่อ พี่เอาไฟแช็คจุดดูว่า รูปที่อยู่ตรงหน้าใช่หน้าแม่หนูมั๊ย พอโจ้จุดไฟแช็ค ก็เห็นเป็นหน้าป้านี ตอนนั้นโจ้รู้สึกช็อคมาก และรู้แล้วว่าป้านีนั้นเป็นห่วงน้องเกดมาก และคืนนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอโจ้ถึงบ้านก็คิดว่า จะคบหรือไม่คบกะน้องเกดต่อดี 

และหลังจากนั้น 2-3 วันโจ้ก็ไม่มองหน้าน้องเกดเลย และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าวันไหน ที่โจ้ออกไปหน้าบ้านแล้วเจอน้องเกดและได้คุยกะน้องเกด คืนนั้นจะฝันเห็นป้านีมาที่บ้านบอกว่า อย่ามายุ่งกับลูกกู ตอนนั้นโจ้ยอมรับว่าฝันครั้งสองครั้งก็เริ่มที่จะเชื่อแล้ว แลยตัดสินใจว่าจะเลิกยุ่งกับน้องเกดจริงๆ และตอนเช้าโจ้ก็ลางาน เพื่อที่จะไปทำบุญขอขมาป้านีที่วัด พอไปถึงวัด โจ้นั้นก็จุดธูปไหว้แล้วก็พูดว่า ผมจะไม่ยุ่งกับลูกสาวป้าแล้วครับ และพอดีก็ไปเจอกับหลวงพี่ท่านนึงที่รู้จักโจ้ และบวชอยู่ที่วัดนานแล้ว พอโจ้เห็นโจ้ก็ไหว้แล้วก็ทักหลวงพี่ หลวงพี่สบายดีมั๊ย หลวงพี่ก็ตอบกลับว่าสบายดี แล้วก็ถามโจ้ว่า แล้วนี่มาทำอะไรกัน โจ้บอกว่า ก็มาไหว้ป้านีครับ พอผมรู้ว่าแกเสียผมก็เลยมาไหว้ครับ แต่โจ้นั้นก็ไม่ได้บอกว่ามีอะไรเกิดขึ้น หลวงพี่ก็เล่าให้ฟังว่า โยมป้าแกเสียไปประมาณ 2 เดือนแล้ว เนี่ยรู้มั๊ยว่าแกเสียตรงไหน โจ้ก็ถามว่า ตรงไหนครับ หลวงพี่ก็บอกว่า แกผูกคอตายตรงใต้ต้นมะม่วงตรงศาลานั่นแหละ พอได้ยินคำตอบโจ้ก็ช็อค แต่ก็ถามต่อว่า แล้วป้านีแกทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เขาไม่รักลูกเขา หรืออยู่ดูแลลูกเขาหรอ หลวงพี่ก็เลยบอกต่อว่า ก็ที่ที่เขาผูกคอตายหนะ ก็ที่เดียวกับที่ลูกสาวเขาผูกคอตายนั่นแหละ ซึ่งน้องเกดนั้นผูกคอตายไปก่อนหน้าป้านี ประมาณ 2 เดือน สาเหตุที่น้องเกดผูกคอตายก็เพราะว่าน้องเกดต้องเลิกกับแฟน เพราะว่าป้านีนั้นไม่ให้น้องเกดคบกับแฟน และโกฐิของน้องเกดก็อยู่ติดกับโกฐิของป้านีเลย แต่ว่าคืนนั้น น้องเกดยืนบังหน้าโกฐิตัวเองไว้ ตกเย็นวันนั้น โจ้ก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่ชลบุรีกับแม่เลย

วันที่คุณอาร์มได้ฟังโจ้เล่า ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเห็นหน้าโจ้แล้วรู้เลยว่าไม่ได้โกหกแน่ๆ เพราะรู้ว่าโจ้มันเป็นคนที่ไม่กลัวผี แล้วอยู่ดีๆ จะมาเล่าให้ฟังทำไม และหลังจากที่คุณอาร์มได้มาเล่าเรื่อง รักที่ถูกกีดกัน กับทาง The Ghost Radio อีกวันนึง คุณอาร์มก็นั่งนึกถึงเรื่องนี้ ก็เลยตัดสินใจขับรถไปหาแฟนของน้องเกด คนที่คบกับน้องเกดตอนที่น้องเกดยังไม่ผูกคอตาย ซึ่งก็เป็นเพื่อนของคุณอาร์มเหมือนกัน แต่เพื่อนคนนี้จะไม่ค่อยสนิทกับโจ้ แล้วคุณอาร์มก็เปิดเรื่องที่คุณอาร์มเล่ากับทารายการให้ เพื่อนคนนี้ฟัง พอฟังจบ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวกูเล่าอะไรให้ฟัง ตอนนั้นหลังจากที่น้องเกดกับแม่เสียเดือนสองเดือน เขามีธุระที่จะต้องเข้าในหมู่บ้านแห่งนั้น ในตอนกลางคืน และจะต้องผ่านต้นมะม่วงต้นนี้ด้วย ตอนขาไปยังไม่เจออะไร แต่พอขากลับก็เห็นเป็นคน 2 คน นั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงกำลังนั่งกินเครื่องเซ่นอยู่ และหลังจากนั้นเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยเข้าไปที่หมู่บ้านนี้อีกเลย









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - ตัดสินใจผิดพลาด



ตัดสินใจผิดพลาด

      เป็นเรื่องของคุณอาร์มที่ฟังมาจากรุ่นพี่ชื่อพี่เอก พี่เอกไปหาพี่นัทซึ่งเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเขามี พี่นัท พี่เอก พี่ต้น พี่ปูพี่หนุ่ม(เป็นแฟนกัน) เรื่องเริ่มต้นที่พี่นัทบ่นว่าอยากจะรวมตัวเพื่อนๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีคนว่าง ไปนั่งดื่มก็เบื่อแล้วพี่นัทมีบ้านคุณยายหลังนึงเป็นบ้านทรงไทย คุณยายเสียแล้วก็เลยชวนกันไปลองของกะว่าถ้าไปเสร็จเร็ว จะชวนกันไปดื่มต่อ ทุกคนก็สรุปว่าไปกัน
พอไปถึงบ้านเป็นบ้านทรงไทยสองชั้นร่วมสมัย ก็เข้าไปลองของในบ้านโดยตั้งกฏว่า ห้ามใช้ไฟฉาย และไฟจากมือถือ ให้ใช้แค่ถือเทียนเข้าไปเป็นแสงสว่าง ถ้าเทียนดับก็ให้ใช้ไม้ขีดแค่สามก้าน ถ้าจุดไม่ติดก็ให้เดินมืดๆ ก็เดินไปเข้าห้องนี้ออกห้องนู้นก็ไม่เจออะไรจนสรุปว่า จะเล่นผีถ้วยแก้ว

แต่ทำไงได้แก้วไม่มีกระดาษ(พี่นัทไม่ได้เล่นเพราะกลัวโดนไล่ไปอยู่ข้างนอก)ปากกาไม่มี ก็ไปหาตามห้องก็ไม่มี จนสรุปให้เทียนปักล้อมวงให้แสงสว่าง แล้วพี่หนุ่มวิ่งลงไปที่ศาลพระภูมิ เอาแก้วที่ศาลพระภูมิมาเล่นแล้วพูดว่าถ้าที่นี่มีผีทำไงก็ได้ให้แก้วหมุนหรือพูดตอบกูให้รู้ว่ามีจริง ก็ยังเงียบไม่มีอะไร จนพี่หนุ่มวิ่งลงไปเอาตุ๊กตานางรำมา แล้วบอกเอาอีนี่แหล่ะ มันเข้ามาจะได้รู้ว่าเป็นมัน แต่ก็ยังเงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสุดท้ายแยกย้ายกันกลับเพราะกินเวลานานไม่ได้ไปดื่มต่อ คืนแรกผ่านไปไม่มีอะไร คืนที่สองพี่ต้นโทรมาหาพี่เอก เอกกูไม่ไหวแล้วกูขอไปนอนด้วยได้มั้ย พี่เอกเข้าใจว่าพี่ต้นทะเลาะกับที่บ้านก็ให้มาพี่ต้นมาหาพี่เอกที่บ้านพี่เอกก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ต้นเล่าว่ากูนอนไม่ได้เลย คืนแรกกูกำลังจะหลับกูได้ยินเสียง เท่งติ๊ง เท่งติ๊งป๊ะ ป๊ะ ตึงตึง ตึงตึงตึง(ตะโพน)กูกลัวกูพยายามหลับแต่หลับไม่ได้ จนกูต้องอาศัยนอนตอนเช้าเอา พอมาถึงวันที่สองกำลังอาศัยนอนตอนเช้า ปิดห้องมืดสนิทกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียง เท่งติ๊ง เท่งติ๊งป๊ะ ป๊ะตึง ตึง ตึง พอลืมตาขึ้นมากูเห็นผู้หญิงใส่ชุดนางรำ กำลังรำยกแขนขึ้นลง แต่ตอนที่ยกแขนขึ้นแขนยืดไปถึงเพดานด้วย ตาก็มองมาที่กูแล้วยิ้มตลอด กูเลยวิ่งหนีออกมา พี่เอกคิดว่าพี่ต้นเพ้อเจ้อหรือแกล้งเลยไม่ให้มานอนด้วย จนผ่านไปสามสี่วันไปหาพี่ต้นที่บ้าน ทั้งบ้านพี่ต้นย้ายไปแล้วไม่มีใครอยู่ ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงวันนี้สองปีไม่มีใครติดต่อพี่ต้นได้เลย หายสาบสูญจากวงจรเพื่อนไปเลย
เลยไปหาพี่หนุ่มกับพี่ปูที่เป็นแฟนกัน เพื่อจะไปถามว่าเจออะไรมั้ย พอไปถึงก็นั่งที่โต๊ะกินข้าว โต๊ะมีสี่ที่นั่ง พี่หนุ่มนั่งซ้าย พี่ปูนั่งขวามือพี่เอก


พี่เอกเล่าเรื่องพี่ต้นให้ฟังแล้วถามพี่หนุ่มเจออะไรมั้ยพี่หนุ่มบอกกูไม่เจอ แต่กูอยากให้เมียกูเรียนลิเก พอพูดจบพี่ปูก็ร้องไห้โฮ พี่เอกตกใจแล้วก็บอกเกรงใจพี่ปู พี่หนุ่มบอกจะเกรงใจทำไมนี่เมียกูกูจะให้มันเรียนลิเก (พูดแบบจะมีเรื่องกัน)พี่ปูก็ยิ่งร้อง พี่เอกเลยตัดสินใจกลับบอกเออคุยไม่รู้เรื่องกูกลับล่ะ พอพี่เอกยืนขึ้น พี่หนุ่มเอาปืนจ่อหัวยิงพี่ปู ปังง เสียงดังสนั่นหูวิ้ง พี่เอกช็อคตกใจถามไอ้หนุ่มทำ เxี้ยอะไรเนี่ย พี่หนุ่มเอาปืนกรอกปากตัวเองลั่นไก ปังง พี่เอกช็อค ตอนนั้นพี่เอกตัดสินใจกูต้องไปจากที่นี่ พอลุกขึ้นหันหลังจะออกจากบ้าน พี่เอกได้ยินเสียงตะโพน หันไปดู เห็นพี่หนุ่มกับพี่ปูกำลังยืนรำอยู่ พี่เอกแหกปากวิ่งหนีไปวัด ไปอยู่แถวพระประทานในวัด สามเณรมาเห็นก็ไปตามหลวงพ่อมา หลวงพ่อก็ทำน้ำมนต์ให้ พอได้สติก็สืบสาวราวเรื่องกัน ว่าเป็นไงมาไง ในเรื่องฟังงงๆว่าพี่เอกตาย แต่เข้าใจว่าเล่าสลับ เข้าใจว่าวันที่พี่เอกไปหาพี่หนุ่มกับพี่ปู คือวันที่สองที่พี่หนุ่มกับพี่ปูตายแล้ว พี่หนุ่มหัวฟาดพื้น พี่ปูหัวใจวาย(ในเรื่องบอกพี่เอกหัวฟาดพื้น เราว่าเล่าสลับ)

จนบอกหลวงพ่อ บอกพ่อแม่ว่าไม่ไปไหนแล้วจะอยู่ในโบสถ์นี้จะบวช แต่สามวันที่อยู่วัดได้ยินแต่เสียงตะโพน
ไม่มีสมาธิสวดมนต์หรือท่องหนังสือบวช เลยปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกให้ไปขอขมา ก็ตัดสินใจไปขอขมา ก็ไปกลางวันบ้านไม่ได้ล๊อคขอขมาเสร็จสบายใจกำลังจะกลับลงบันไดมาหันไปเห็นรูปพี่นัท เขยนว่าชาตะ มรณะ ได้ประมาณปีนึงแล้ว สรุปเรื่องคือพี่นัทตายไปได้ประมาณปีนึงแล้ว เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่เอกบวช








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ : ขอทำใจ



ขอทำใจ

ย้อนไปเมื่อประมาณ 14 ปี
คุณหมีจบม.3 ก็มาต่อสายอาชีพ มาเรียนในตัวเมืองพัทยา ซึ่งบริเวณสถานศึกษาก็จะมีร้านข้าวแกงร้านนึง เจ้าของแกเป็นสาวประเภท2 ชื่อพี่สวยแกเป็นคนจิตใจดี เจอแกทีไรแกไม่เคยเครียดเลย ยิ้มตลอดเวลา คุณหมีนับถือแกเหมือนพี่สาว จนแกมาติดพันหนุ่มลูกครึ่งคนนึงอยู่กินด้วยกันโดยมีพี่สวยเลี้ยงดู คือเด็กหนุ่มคนนี้เนี่ยค่อนข้างจะติดเกมส์ด้วยความหลงอะครับ พี่สวยแกเลยยอมเลิกจากร้านข้าวแกงมาเป็นร้านเกมส์ ซึ่งร้านเกมส์จะเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้น ตัวพี่สวยแล้วก็แฟนจะนอนอยู่ชั้น2ด้านล่างก็เหมือนร้านเกมส์ทั่วไป ด้วยความสนิทกับพี่สวย พี่หมีก็ไปเล่นร้านเกมส์แกบ่อยๆ

ต่อมาเนี่ย แฟนพี่สวยก็ไปมีผู้หญิงใหม่ เค้าคบกันแบบลับๆ พี่หมีแกเองก็รู้ แต่ไม่กล้าบอกพี่สวย กลัวแกเสียใจจนพี่สวยแกมารู้ความจริง เลยมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงกับแฟน เวลาทะเลาะกันคือเสียงดังจนได้ยินมาถึงข้างล่าง
ก็มีปัญหามาเรื่อยๆ จนมาครั้งนึงเนี่ย พี่สวยกับแฟนแกก็ทะเลาะกันอีก แต่คราวนี้ค่อนข้างหนัก คือได้ยินเสียงทุบของ ไม่ถึงชั่วโมงแฟนพี่
สวยแกก็ลงมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ ครึ่งชั่วโมงพี่สวยก็ตาม แต่แกก็ยังคงอารมณ์เดิม คือแซวเล่นตามประสา
แต่สักพักแกก็บอกว่าครั้งนี้ขอขึ้นไปทำใจก่อนนะ ครั้งนี้ไม่ไหว 

ทีนี้ประมาณตีสามตี4 แกลงมา แล้วก็พูดกับเด็กในร้านเกมส์คนนึงว่า ขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนแกหน่อย แกกลัวผี เด็กในร้านได้ยินก็ขำ ไม่ได้คิดอะไร พอวันถัดมา พี่หมีแกก็มาอีก ถามถึงพี่สวย เด็กในร้านบอกว่าพี่เค้ายังไม่ลงมา พี่หมีแกก็ขึ้นไปดู คือประตูห้องพี่สวยเนี่ยเป็นประตูกระจก 
พี่หมีแกเห็นพี่สวยนั่งอยู่กับพื้น มือถือแก้วเหล้า พิงกำแพง เห็นเป็นแบบเงาๆ พี่หมีแกก็พูดว่า พี่สวยไม่ลงมาดูร้านเกมส์เหรอพี่สวยแกก็บอกว่า หมีลงไปก่อนๆ
พี่หมีแกเลยบอกว่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่แฟนคนเดียว พี่สวยแกเอามือทุบประตูดังปั้ง
พี่หมีแกก็ตกใจ เกือบตกบันได เลยรีบลงมา แกเลยไปบอกแฟนเก่าพี่สวย ให้มาดูพี่สวยหน่อย
ทีนี้ประมาณ 4 ทุ่ม แฟนเก่าพี่สวยก็มา เค้าก็ขึ้นไปช้ัน 2    สักพัก ก็วิ่งลงมา แล้วขึ้นมอไซคฺบิดไปเลย พี่หมีก็งงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร 

วันต่อมาพี่หมีแกก็มาเล่นอีก สักพักมีรถตำรวจมา ตามมาด้วยรถกู้ภัย ซึ่งมาเพราะว่าตึกข้างๆเนี่ยได้กลิ่นเหม็น เด็กในร้านเกมส์รวมพี่หมี ด้วยความคึก ก็ตามขึ้นไปดูด้วย ซึ่งพี่หมีเห็นเป็นคนแรก 
คือสภาพ พี่สวยแกนั่งท่าเดิมนั่นแหละ คือแกผูกคอตายกับที่จับประตู แล้วแกคงกลัวไม่ตาย เลยกินยาเบื่อหนูลงไปก่อน คือพี่หมีแกก็ตามเรื่องนะ ได้ความว่า พี่สวยแกตายมาไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงแล้ว
พี่หมีแกก็ขนลุก ทั้งเรื่องที่แกขึ้นไปคุยกับพี่สวย แล้วที่พี่สวยเดินลงมาหาเพื่อนไปนอนด้วย ...
ทีนี้แกเลยไปถามแฟนเก่า ว่าวันนั้นมีอะไร รีบลงมาทำไม แฟนเก่าก็เล่าให้ฟังว่า เค้าก็เดินขึ้นไปชั้นสองเนี่ยแหละ ทีนี้จะเปิดประตู แต่เปิดไม่ได้ เลยพูดไปว่า พี่สวย ผมมาแล้วเปิดประตูหน่อย ... คือห้องพี่สวยเนี่ยเค้าปิดม่านไว้ พอพูดไปเท่านั้นแหละ พี่สวยแกแหวกม่านมาแล้วพูดว่า  ..... กูตายแล้ว กูไม่ให้เข้าหรอก!

พี่หมีแกก็เล่าถึงผู้หญิงคนใหม่ของแฟนเก่า คือ ตัวผู้หญิงเนี่ย เล่าว่า ช่วงที่พี่สวยตายเนี่ย เค้าไม่รู้นะ แต่ทุกคืน ในช่วงแรกๆจะเจอสาวประเภทสองคนนึง มายืนมองอยู่หน้าบ้าน 
ยืนมองเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร พอไปงานศพพี่สวย ถึงได้รู้ว่าเป็นคนเดียวกันที่มายืนดูเค้าหน้าบ้าน
เมื่อไหร่ที่แฟนเก่าพี่สวยมีแฟนใหม่ ก็จะเจอพี่สวยยืนมองอยู่หน้าบ้าน ทุกคน แต่เป็นแค่ช่วงระยะแรกๆเท่านั้น









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหมี The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก The Ghost Room




วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | อีก 15 นาที ตี 1



อีกสิบห้านาทีตีหนึ่ง
เป็นเรื่องราวที่รุ่นน้องเล่าให้ฟัง ชื่อคุณแจ็ค เหตุการณ์เกิดขึ้นที่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวลาดพร้าว คุณแจ็คได้ย้ายมาเรียนต่อในกรุงเทพ และได้เช่าอยู่ที่คอนโดแถวลาดพร้าว
ตอนโดแห่งนี้มีทั้งหมดสิบสองชั้น คุณแจ็คเช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด ซึ่งห้องที่คุณแจ็คเช่าอยู่ เจ้าของได้มาซื้อไว้ แล้วปล่อยให้เช่าต่อ เป็นแค่ห้องโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ คุณแจ็คก็ได้เอาฟูกมาปูนอน และขนข้าวของเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ มาวางในห้อง
ในคืนแรก อาจเป็นเพราะแปลกที่ จึงทำให้คุณแจ็คนอนไม่ค่อยหลับ แต่ในขณะที่กำลังข่มตานอน ทุกอย่างเงียบสนิท ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ๊ง" มาไกลๆ ตามด้วยเสียงรองเท้ายางถูกับพื้นดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" และเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" ผ่านที่หน้าห้อง
คุณแจ็คลองเปิดมือถือเพื่อดูนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที ซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว จึงพยายามข่มตานอน จนเคลิ้มหลับไป คืนต่อมาก็ยังคงนอนไม่กลับ พลิกตัวไปมาอยู่นาน
สักพักก็ได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ๊ง" ตามด้วยเสียงเดินดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" พร้อมกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" เสียงมันเหมือนกับเหล็กกระทบกัน และเมื่อคุณแจ็คดูเวลา ก็เห็นเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที
คืนที่สาม คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกตามเคย จึงลุงขึ้นมานั่งเขียนงาน เพื่อให้มันง่วง และได้เปิดประตูหน้าห้องทิ้งไว้ ให้มีลมโกรกเย็นๆ ในระหว่างที่กำลังนั่งเขียนงานอยู่ คุณแจ็คก็ได้ยินเสียง "ติ๊ง" ตามด้วยเสียง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" พร้อมๆกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง"
เสียงนั้นดังมาจากหน้าลิฟท์ จนมาถึงหน้าห้อง คุณแจ็คหันไปมองทันที เห็นเป็นน้องผู้หญิงคนนึง ตัวเล็กๆ ผิวขาวผมยาว ใส่ชุดนักศึกษา หน้าตาหน้ารักมาก สะพายกระเป๋าข้าง และมีลูกกระพรวนติดอยู่ที่กระเป๋า
คุณแจ็ครู้สึกชอบผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น และคิดว่าน้องผู้หญิงคงจะไปทำงาน หรืออะไรสักอย่าง ถึงได้กลับมาในเวลาเดิมทุกๆวัน คืนต่อมาคุณแจ็คเปิดประตูห้องไว้เหมือนเดิม พอถึงเวลา ก็จะได้ยินเสียงน้องผู้หญิงเดินมาจากลิฟท์
จึงแกล้งทำเป็นหยิบไม้กวาด มากวาดแถวๆหน้าประตูห้อง พอน้องผู้หญิงเดินผ่านมาถึง คุณแจ็คแกล้งทำเป็นพูดว่า "กลับดึกจังเลยนะครับ" น้องผู้หญิงก็ส่งยิ้มหวานมาให้ คุณแจ็คเห็นแบบนั้นก็รู้สึกดีใจ ที่น้องไม่ได้ทำท่าทีรังเกียจ แถมยังยิ้มให้อีกด้วย
คืนต่อมา คุณแจ็คก็ทำแบบเดิม ไปยืนรอส่งยิ้มให้ที่หน้าห้อง จนเริ่มอยากรู้ว่าน้องอยู่ห้องไหน คืนถัดมา คุณแจ็คก็ไปยืนรอส่งยิ้มให้เหมือนเดิม พอน้องเดินผ่านหน้าห้องไป ก็แอบชะโงกหน้ามองตามหลัง
เห็นน้องยืนอยู่ตรงสุดโถงทางเดินหน้าห้อง แล้วหันกลับมามองคุณแจ็ค พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า คุณแจ็คก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร จึงได้ยกนิ้วขึ้นชี้ที่หน้าตัวเอง เป็นเชิงว่าเรียกกันเหรอ
น้องผู้หญิงก็พยักหน้าตอบ แล้วกวักมือเรียก ทำให้คุณแจ็ครู้สึกหัวใจพองโต มีสาวน่ารักที่แอบชอบกวักมือเรียก จึงไม่รอช้า เดินจ้ำเข้าไปหาทันที ไม่สนใจแม้แต่จะใส่รองเท้า
จนใกล้จะถึงตัวน้องประมาณสองช่วงแขน แต่อยู่ดีๆ น้องก็หันหลังให้คุณแจ็ค แล้วเลื่อนหน้าต่างที่อยู่ตรงกำแพงสุดท้ายเดินขึ้น แล้วกระโจนพรวดลงไปข้างล่างทันที คุณแจ็คร้องตะโกนด้วยความตกใจ รีบวิ่งตามไปดู
ในหัวนึกภาพร่างของน้อง ต้องตกลงไปกองอยู่บนพื้นข้างล่างแน่ๆ แต่เมื่อคุณแจ็คชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่าง กลับไม่พบร่างของใครเลย เป็นเพียงแค่ลานจอดรถธรรมดา คุณแจ็คพยายามหาดูจนทั่วบริเวณ เพราะน้องอาจจะไปติดอยู่ตรงจุดไหนสักที่ แต่เมื่อลองหาดูจนทั่ว ก็ไม่พบร่างของน้องไปติดอยู่ที่ไหน
คุณแจ็คค่อยๆเดินถอยหลัง เริ่มสับสนกับเหตุการที่เกิดขึ้น คิดในใจว่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่ คุณแจ็คกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าห้อง ปิดประตูแล้วนั่งขดตัวอยู่บนเตียง ถามกับตัวเองว่าเราเจออะไรกันแน่
คืนนั้น คุณแจ็คนั่งขดตัวกัดเล็บตัวเองทั้งคืนเพราะความกลัว จนรุ่งเช้า พอไปถึงหมาลัย ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง มีทั้งคนที่เชื่อและก็ไม่เชื่อ คุณแจ็คบอกกับเพื่อนว่า อยู่ไม่ได้ กลัวมาก จะขอไปนอนกับเพื่อนที่ห้องด้วย
แต่ไปอยู่ห้องเพื่อนได้แค่สองสามวัน ก็ต้องกลับมานอนที่ห้องตัวเองอีกเหมือนเดิม เนื่องจากห้องของเพื่อนค่อนข้างแคบ และอยู่กันหลายคน จึงเกิดความแออัดไม่สดวกต่างๆ
เพื่อนก็เลยบอกว่า "เอางี้แจ็ค กูสองคนจะไปนอนห้องมึงด้วย ไปดูเลยว่ามันเป็นยังไง อย่างน้อยอยู่กันสามคน คงไม่เป็นไร" คุณแจ็คก็ตกลง จึงได้ย้ายไปนอนห้องคุณแจ็คกันสามคน
จนถึงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบห้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงลิฟท์ ไม่มีเสียงคนเดิน ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น เพื่อนก็บอกว่า "โอเค นี่แค่คืนแรก อาจจะยังไม่มีอะไร คืนที่สองอาจจะมี"
แต่เมื่อถึงคืนที่สอง ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คืนที่สามก็เช่นกัน เพื่อนจึงฟันธงกันว่า "แจ็ค มันไม่มีแล้วล่ะ มึงเจออะไรไม่รู้ แต่มันไม่มีแล้ว" คุณแจ็คยังไม่รู้สึกคลายความกังวล แต่เมื่อเพื่อนจะกลับ ก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด คิดว่าคงต้องลองวัดดวงดูเอง
คืนต่อมา คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกเหมือนเดิม บรรยากาศมันแตกต่างกับตอนที่มีเพื่อนมานอนด้วยแบบคนละเรื่องกันเลย รู้สึกใจหวิวๆ และเงียบเชียบ แต่ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ้ง!!" มาไกลๆ
ทำให้คุณแจ็คหูผึ่งทันที คิดปลอบใจตัวเองว่า คงจะเป็นผู้อาศัยอื่นๆในชั้นนี้ สักพักมีเสียงดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" ผสมกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" คุณแจ็คขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เชื่องช้า จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของคุณแจ็ค ภายในห้องปิดไฟมืด แต่โถงทางเดินด้านนอกยังคงเปิดไฟสว่าง คุณแจ็คมองลงไปที่ช่องเล็กๆใต้ประตู ปรากฏว่าเห็นเป็นขาคนสองข้าง ยืนอยู่หน้าห้อง โดยหันหน้าเข้าประตู
คุณแจ็คใจหายวาบ ความกลัวมันเริ่มปะทุขึ้นในใจเรื่อยๆ จนเหงื่อกาฬผุดขึ้นทั้งตัว รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว แล้วนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่บนเตียง หวาดกลัวต่ออะไรสักอย่าง ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้สิ่งนั้นรีบๆเดินผ่านหน้าห้องไปสักที
แต่สิ่งที่ได้รับจากการขอภาวนาคือ เสียงลูกบิดประตูห้องมันดัง "แกร่กๆ..แกร่กๆ" เหมือนมีคนพยายามจะเปิดประตูเข้ามา ทำให้คุณแจ็คกลัวจนจับใจ ถึงแม้ว่าจะล็อกห้องอยู่ก็ตาม
คุณแจ็คเอาแต่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รู้สึกว่าเสียงมันได้เงียบหายไปสักพัก จึงค่อยๆดึงผ้าห่มออกดู แต่สิ่งที่เห็นทำให้คุณแจ็คผวาจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ยังคงเห็นเท้าคนยืนอยู่หลังประตูเหมือนเดิม แต่ที่เพื่มมาก็คือ มีหน้าคน ค่อยๆแนบลงมามองที่ช่องใต้ประตู จนเห็นลูกกะตาสีขาวๆข้างหนึ่ง
ซึ่งตามหลักสรีระแล้ว เป็นไปไม่ได้ในเวลาที่ยืนหันหน้าเข้าหาประตู แล้วจะสามารถเอาหน้าแนบลงที่ช่องใต้ประตูได้ คุณแจ็ตจ้องมองสิ่งแปลกประหลาด ที่ยืนอยู่อีกด้านของประตูด้วยความสยดสยอง
หน้าที่แนบลงมาใต้ประตูกลอกลูกกะตาไปมา เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่างภายในห้อง สักพักก็ค่อยๆดึงหัวกลับขึ้นไป แล้วเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างช้าๆ "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" คุณแจ็คยังคงมองตาค้างอยู่ที่ช่องใต้ประตู เหมือนคนที่สติหลุดออกจากร่างไปแล้ว
รุ่งเช้า คุณแจ็ครีบโทรไปหาเจ้าของห้อง แล้วขอย้ายออกทันที และขอเงินมัดจำคืนครึ่งหนึ่ง เจ้าของห้องถามถึงเหตุผล คุณแจ็คจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้เจ้าของห้องฟัง เจ้าของห้องพูดออกมาว่า "นี่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย"
คุณแจ็คถามต่อทันทีว่าหมายความว่ายังไง ก็ได้ความว่า เมื่อประมาณสองปี ก่อนที่เจ้าของห้องจะมาอยู่ที่นี่ มีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่ง เช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จนฝ่ายชายไล่ฝ่ายหญิงออกนอกห้องแล้วล็อคประตูห้อง ทิ้งให้ฝ่ายหญิงอยู่นอกห้องคนเดียว จึงเกิดความน้อยใจ ก็เลยไปกระโดดตึกตายที่หน้าต่างสุดทางเดิน
หลังจากนั้น คนที่อยู่ชั้นสิบเอ็ด มักจะได้ยินเสียงผู้หญิง เดินร้องไห้อยู่หน้าโถงทางเดิน ในเวลาเที่ยงคืนสี่สิบเอ็ดนาที จนคนย้ายออกกันทั้งชั้น เจ้าของคอนโดจึงนิมนต์พระมาทำพิธิ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของน้องผู้หญิงอีก จนคุณแจ็คมาเจอเข้ากับตัว อาจจะเป็นเพราะดวงสมพงศ์กัน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณแคร์ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | ยันต์แดง



ยันต์แดง
  เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี เมื่อสิบปีที่ผ่านมา คุณอั้มย้ายมาอยู่ที่อำเภอไทรน้อยตั้งแต่ยังเด็ก บ้านของคุณอั้มจะอยู่แถวๆปากซอย แถวที่คุณอั้มอยู่ จะมีทาวน์เฮ้าส์ใหม่ๆผุดขึ้นอยู่หลายหลัง แถวกลางซอยแต่เดิม มีทาวน์เฮ้าส์เก่าๆอยู่หลายหลัง แต่ก็ได้รับการบูรณะใหม่ทุกหลัง
    แต่ท้ายซอยจะมีบ้านสองชั้นอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งเก่าและทรุดโทรมมาก ก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ไม่มีบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์หลังไหน กล้าปลูกติดกับบ้านหลังนี้ แต่จะขยับออกไปปลูกกันห่างๆ บ้านหลังนี้ร้างมาตั้งแต่ที่คุณอั้มย้ายเข้ามาอยู่ ผ่านมาไม่กี่เดือน ก็ได้มีคนเข้ามาบำรุงใหม่ ซึ่งก็น่าจะเป็นเจ้าของ แล้วแขวนป้ายให้เช่า ไม่นานก็มีคนมาเช่าอยู่ เป็นร่างทรง

    คุณอั้มมักจะชอบปั่นจักรยานไปเล่นแถวๆท้ายซอยอยู่บ่อยๆ จะเห็นพวกตุ๊กตา พวกของบูชาอยู่เยอะมาก จนล้นออกมาหน้าบ้าน และจะมีควันธูปลอยโขมงอยู่ตลอดเวลา ร่างทรงเช่าอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบสิบปี แล้วก็ได้ย้ายออก ไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนใหม่เข้ามาเช่าอยู่
    แต่ก็อยู่ได้แค่สองวัน คุณอั้มได้ยินชาวบ้านแถวๆนั้นพูดกันว่า คนที่มาเช่าอยู่ใหม่ รีบขนของย้ายออกกลางดึกทันที แต่ทุกคนก็ไม่ทราบเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ก็มีน้าของเพื่อนคุณอั้ม ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้

    ช่วงแรกๆ ตอนที่น้าย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ น้าเป็นคนปกติดีทุกอย่าง แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้สองเดือน ก็เริ่มกลายเป็นคนเพ้อ มักจะบอกว่า เค้ามีแฟนและลูก อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ทั้งๆที่น้าอยู่ที่นี่แค่คนเดียว
    วันนั้น คุณอั้มได้ขอคุณแม่ว่า จะไปนอนที่บ้านน้าของเพื่อน ที่อยู่ท้ายซอย เพราะจะได้แอบไปสูบบุหรี่ด้วย จึงเดินถือหมอนไปที่ท้ายซอยกับเพื่อนสองคน พอไปถึงบ้านน้า คุณอั้มกับเพื่อนก็คุยเล่นกันปกติ จนเวลาย่างเข้าตีหนึ่ง ก็ขึ้นไปนอนกันที่ชั้นบน ส่วนน้าจะนอนที่ชั้นล่างอยู่แล้ว
    ในห้องชั้นสองไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก มีเพียงแค่เตียงนอนที่อยู่ขวามือ โต๊ะเครื่องแป้งอยู่ถัดจากเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าจะอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนห้องน้ำจะอยู่หลังห้อง ตรงข้ามกับประตูทางเข้าพอดี

    คุณอั้มนอนไปได้สักพัก เริ่มได้ยินเสียงพัดลมตั้งพื้นดัง "แกร็กๆๆๆ" ทั้งๆที่ตอนแรกมันก็ไม่ได้มีเสียงอะไร จนเพื่อนที่นอนข้างๆสะกิด แล้วบอกว่า "พัดลมดังอ่ะ" คุณอั้มรู้ว่าเพื่อนกลัว เพราะปกติเพื่อนคนนี้จะเป็นคนกลัวผีมาก
    คุณอั้มจึงลุกไปปิด มันจะไม่ได้ส่งเสียงดังน่ารำคาญอีก สักพักใหญ่ๆ คุณอั้มรู้สึกตัวตื่น เพราะเพื่อนสะกิดที่หลัง ด้วยอารมณ์ที่ง่วงนอนปนโมโห จึงลุกขึ้นมาถามเพื่อนว่า "เป็นอะไรเนี่ย" ก็เห็นเพื่อนนอนหลับตาปี๋ แล้วชี้ไปทางปลายเตียง

    ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิง นั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียง อายุรุ่นๆอนุบาลสาม ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่ชุดราตรี นั่งแกว่งหัวโยกตัวไปมา จากคนที่ไม่กลัวผี คุณอั้มเริ่มคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคืออะไร ความกลัวเล็กๆเริ่มผุดขึ้นในตัว คุณอั้มหลับตาลง คิดในใจว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็น แสดงว่าตาฝาด
    ครู่เดียว คุณอั้มค่อยๆลืมตาขึ้นมา เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ที่ปลายเตียงมีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าหลังเก่าๆ จึงรู้สึกใจโล่งขึ้นมาทันที แต่อยู่ๆ ประตูห้องมันกลับเปิดออกเอง แล้วค่อยๆอ้าออกอย่างช้าๆ "แอ๊ดดดดดดด"
    คุณอั้มรู้สึกขนลุกตั้ง ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนล็อกมันกับมือก่อนนอนแล้วแท้ๆ ต้องมีคนเปิดมันจากด้านในเท่านั้น แต่คุณอั้มไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องน้ำก็ค่อยๆอ้าออก คุณอั้มรีบหัวควับไปมองทันที

    ปรากฏว่าเห็นเด็กผู้หญิง คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงเมื่อครู่ ไปนอนคว่ำหน้าอยู่กลางห้องน้ำ คุณอั้มตกใจจนตัวเกร็ง รีบหลับตาลง ความกลัวเริ่มแผ่กระจายจนทั่วร่างกาย นึกใจในว่า "ไม่ใช่ๆ เราไม่ใช่คนกลัวผี มันต้องไม่ใช่" แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นดูอีกที ก็เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ในสภาพเดิม
    คุณอั้มคิดในใจว่า มันคืนอะไรกันแน่ ตาฝาดไปเองหรือเห็นภาพหลอน คุณอั้มรีบปลุกเพื่อนที่นอนอยู่ข้างตัวให้ลุกขึ้นมาก่อน "ฟ้า ตื่นๆๆๆ" เพื่อนก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณอั้ม แต่ยังไม่ทันที่คุณอั้มจะได้พูดอะไร เพื่อนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า "ไม่ต้องเล่า เห็นทุกอย่างแล้ว"

    คืนนั้น คุณอั้มกับเพื่อนตัดสินใจวิ่งลงไปข้างล่าง แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน รุ่งเช้าจึงมานั่งเล่ากันว่าต่างคนต่างเจออะไรกันบ้าง คุณนัทเล่าไปถึงตอนที่เห็นเด็กนั่งอยู่ปลายเตียง แล้วพยายามหลับตาลง พอลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว คิดว่าคงจะตาฝาดไปเอง
    แต่เพื่อนกลับบอกว่า ความจริงเด็กมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันลุกเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินกลับมาเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินหายเข้าไปในตู้เสื้อผ้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะเด็กคนนั้นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลน เหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง

    ช่วงเย็น เวลาประมาณหกโมง คุณอั้มและเพื่อนจึงเดินไปเล่าเรื่องนี้ให้น้าฟัง แต่น้ากลับไม่เชื่อ ทุกคนจึงเดินขึ้นไปดูกันที่บนห้อง คุณอั้มเดินนำหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดสวิทช์ไฟที่อยู่แถวๆหัวบันได หลอดนีออนกระพริบอยู่สองสามที แล้วก็ดับพรึบ
    แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก แล้วเดินเข้าไปในห้อง จังหวะที่เปิดประตูเข้าไป กลิ่นอับๆ พุ่งปะทะจมูกของคุณอั้ม จนต้องรีบเอามือปิดจมูก สภาพของห้องต่างจากเมื่อคืนอย่างลิบลับ พื้นไม้มีฝุ่นเกาะอยู่หนาเตาะ เตียงนอนมีแต่ฝุ่นจับอยู่เต็มผ้าปูเตียง ตู้เสื้อผ้าเก่าจนแทบจะหักพับลงมาได้ทุกเมื่อ กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีแต่คราบฝ้าสีขาวๆจับอยู่ทั่วทั้งบาน
    คุณอั้มหัวใจเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอก คิดอยู่ในใจว่า นี่เมื่อคืนเรานอนอยู่ในห้องนี้เหรอ หันไปมองหน้าเพื่อน เห็นเพื่อนทำหน้าจะร้องไห้ คุณอั้มถามน้าว่า "น้า ทำไมห้องนี้มันถึงได้เก่าแบบนี้อ่ะ" น้าตอบกลับมาว่า "ก็ตั้งแต่ที่มาอยู่ ยังไม่เคยขึ้นมาเหยียบข้างบนนี้เลย รู้สึกไม่ชอบข้างบนนี้"

    คุณอั้มเหลือบไปมองที่ประตูห้องน้ำ ก็พบว่ามันถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจเก่าๆจากด้านนอก และมียันต์สีแดงเก่าๆ แผ่นประมาณเท่าฝ่ามือ แปะอยู่กลางประตูห้องน้ำ ถึงแม้ว่าคุณอั้มจะกลัว แต่มีความรู้สึกว่า ต้องรู้ให้ได้ว่าในห้องนั้นมันมีอะไร
    จึงขอทุบแม่กุญแจที่ล็อกประตูห้องน้ำไว้ น้าก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร คุณอั้มเอาค้อนหวดจนที่ล็อกแม่กุญแจหลุดกระเด็น จับบานประตูเตรียมจะเปิด อยู่ๆก็รู้สึกถึงความกลัวในอะไรบางอย่าง ในใจคิดว่า ถ้าเปิดออกมาแล้วเจอศพเด็ก จะทำยังไง
    คุณอั้มรวบรวมสติ ค่อยๆผลักประตูช้าๆ สภาพห้องน้ำค่อนข้างเก่ามาก มีหยากไย่และเชื้อราดำๆ เกาะอยู่เต็มฝ้าและผนัง มีกระถางธูปสีน้ำเงินเก่าๆ มีธูปที่เหลือแต่ก้าน ปักอยู่หนึ่งดอก วางอยู่กลางห้องน้ำ ข้างๆกระถางธูปมีจานใส่กับข้าวขึ้นราดำๆอยู่หนึ่งจาน มีชุดราตรีสีขาวเก่าๆของเด็กผู้หญิง แขวนอยู่ตรงราวแขวนผ้าขนหนู มีตุ๊กตาเกือบๆร้อยตัว ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ กองอยู่ทางผนังฝั่งชักโครก

    คุณอั้มเห็นแบบนั้นก็ผงะถอยหลัง รีบปิดประตูทันที น้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำสีหน้าหวาดกลัวไม่ต่างจากคุณอั้ม ส่วนเพื่อนรีบเดินจ้ำออกจากห้อง ไม่พูดไม่จาสักคำ คุณอั้มอยากจะเดินตามหลังเพื่อนออกจากห้องจนใจจะขาด ติดที่ว่าขาทั้งสองข้างมันตายสนิท
    มาขยับได้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงน้าพูดว่า "ลงไปข้างล่างกันดีกว่า" คุณอ้ำจึงเดินลิ่วออกจากห้องก่อน แล้วน้าก็เดินตามหลังมาติดๆ ระหว่างที่กำลังเดินลงบันได หูก็แว่วได้ยินเสียงเหมือนเด็กกำลังฮำเพลง ออกมาจากในห้องน้ำ "ฮื้มมม..ฮืมมม..ฮื่มมมมม" ทำให้คุณอั้มเสียวสันหลังวาบ ความคิดที่ว่าตนเองเป็นคนไม่ค่อยกลัวผี บัดนี้รู้ซึ้งแล้วว่า ตัวเองเป็นคนที่กลัวผีมากๆ

    หลังจากนั้น คุณอั้มขอให้น้าย้ายออกจากที่นี่ แต่น้ากลับบอกว่าย้ายออกไม่ได้ เพราะน้าทิ้งลูกทิ้งเมียไว้ที่นี่ไม่ได้ ทำให้คุณอั้มเริ่มระแวงว่า ลูกเมียที่น้าพูดถึงอยู่บ่อยๆ เป็นใครกันแน่ จนต้องมีญาติมาบังคับให้ย้ายออก น้าถึงจะยอมย้าย
    คุณอั้มพยายามถามประวัติของบ้านหลังนั้น จากคนที่อยู่ในซอยเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนี้เลย ปัจจุบันคุณอั้มกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง ตั้งแต่ที่เปิดเข้าไปในห้องน้ำห้องนั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด







# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอั้ม The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน



หญิงสาว เที่ยงคืน

เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ที่นี้พอแกทำเป็นอยุ่มาหลายปี แกก็แยกตัวออกมารับงานจากโรงงานมาทำเอง และพอแกได้งานมาจากโรงงาน แกก็ต้องหาตึกเพื่อที่จะเอางานเข้าไปทำ แกก็ตระเวนหาแถวๆฝั่งธน และไปได้ตึกอยู่ตึกนึง เป็นตึกติดๆกันหมดเลย และแถวๆนั้นจะเป็นที่เขาทำเย็บผ้ากันหมด จะมีตึกนี้ตึกเดียว 3 ชั้น ที่ว่างอยู่ พ่อคุณกรก็เลยตกลงที่จะเอาตึกนี้ เลยติดต่อเจ้าของตึก เพื่อจะเช่ารายปีพอติดต่อได้เรียบร้อยก็ตกลงเช่า พอตกลงสัญญาเช่าเรียบร้อยแล้วก็ขนของเข้าตึกกัน ตึกๆนี้จะเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกจะเป็นห้องโล่งๆ ชั้นสองจะเป็นชั้นลอย ชั้นลอยที่แบบว่าคนชะโงกหน้าออกมาได้ ระหว่างที่ย้ายของเข้าไปในตึก  ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปทำความสะอาด คุณกรก็ทำความสะอาดขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงที่ชั้น 3   ชั้น 3 จะเป็นห้องที่ตีด้วยไม้อัดที่ทำเป็นห้องๆไว้แล้ว คุณกรก็เลยเปิดเข้าไปดู ในห้องก็จะมีพวกที่นอนเก่าๆ ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ และฝุ่นเกาะหนักมาเหมือนไม่มีคนใช้มานานมากแล้ว แต่ชั้นล่างๆนี่ยังสะอาดเหมือนปกติ คุณกรก็คุยกับพ่อว่า "ชั้น 3 นี่จะเอาไว้อะไร" พ่อก็บอกว่า "ไม่ต้องเก็บอะไรหรอก ปล่อยมันไว้อย่างงั้นแหละ ไม่ต้องใช้ เราจะทำงานข้างล่าง"  ตอนแรกที่ไปเช่าก็กะว่าแค่ไปทำงานเฉยๆ แล้วก็กลับ คุณกรก็เลยไม่ทำความสะอาดแล้วก็เอาไม้อัดไปขวางระหว่างบันไดชั้น 3 ไว้ เพื่อที่จะกันพวกแมวมาขึ้น พอย้ายของเรียบร้อยก็มาทำงานกัน คุณกรก็ทำงานอยุ่กับพ่อ 2 คน ระหว่างที่ทำงานกันทุกวันก็จะเลิกทำงานกันประมาณ 5 ทุ่มเที่ยงคืนทุกวัน แล้วที่แปลกมาก ถ้าวันไหนคุณกรทำงานกับพ่อเกินเที่ยงคืน พอเที่ยงคืนปุ๊ป มันจะมีเสียงเหมือนว่า คนที่เดินลากเท้า ครืดๆๆ มาจากด้านบน ทีแรกคุณกรก็ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไร แต่ว่าจะได้ยินเสียงแบบนี้ทุกวัน ครั้งแรกที่คุณกรได้ยิน ก็เดินขึ้นไปดูไม่ได้คิดถึงว่าจะเป็นผีหรืออะไร พอขึ้นไปดูปรากฏว่าก็ไม่มีอะไร ก็มืดปกติไม่มีคน ไม่มีแมวหรือว่าอะไร ตอนนั้นก็คิดว่าหูฝาด หูแว่วรึป่าว เพราะว่า ทำงานได้ยินเสียงเลื่อยเสียงดังๆอะไรแบบนี้  ก็ไม่คิดอะไรทำงานปกติ พอเสร็จงานก็กลับบ้าน 

วันต่อไปคุณกรก็มาทำงานเหมือนทุกวัน คือว่าถ้าวันไหนทำงานเกินเที่ยงคืน คุณกรเคยมาจับดูนาฬิกาไม่เกิน 2 นาที จะมีเสียงลากเท้า ครืดๆๆ แบบนี้มาเป็นประจำ และมันจะดึงขึ้นทุกวันๆ  แต่คุณกรก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าไม่ได้อยู่ที่นี่อยู่แล้วพ่อก็บอก อย่าไปสนใจเลย ทำงานของเราไป แล้วมาในช่วงที่งานของพ่อมีงานล้นมาก งานเข้าเยอะมาก ก็เลยจำเป็นที่จะหาผู้ช่วย พ่อก็เลยไปติดต่อลุงมาช่วยงาน ที่นี้พอลุงมาช่วยงาน  ลุงคนนี้คือเขาไม่กลัวไม่อะไร เขาก็เล่นของด้วยเหมือนกันเขาก็เลยตกลงมาช่วยทำงาน ไม่กลัวหรอก แล้วลุงเขาก็จะนอนที่ชั้นลอยชั้นที่ 2 ตอนกลางคืนพอทำงานเสร็จคุณกรก็จะกลับบ้าน พอวันรุ่งขึ้นมาที่ตึกนี้ ลุงก็จะมีเรื่องมาเล่าให้ทุกวันว่าได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องลุงมั่ง เดินมาสะกิดขาลุงบ้าง  แต่ลุงเขาเป็นคนไม่กลัวได้แต่พูดกับคุณกรว่า เราไม่ไปทำอะไรเขา เขาก็ไม่ทำอะไรเราหรอก คุณกรก็ถามลุงอีกว่า แล้วลุงไม่เคยเจอมากกว่านี้หรอ ลุงบอกก็ไม่เคย เต็มที่ก็มีแค่มาสะกิดขา พอลืมตาขึ้นมาก็ไม่เห็นอะไร  แล้วก็มีเรื่องแปลกอีกอย่างนึง เวลาที่คุณกรมาทำงาน เวลาที่ขึ้นไปที่ห้องลุง ห้องลุงเขาจะนอนติดอยู่กับบันไตทางขึ้นชั้น 3 ไม้อัดที่เคยเอากั้นไว้ มันจะเปิดออกเองทุกวัน วันที่คุณกรเห็นแรกๆ คุณกรก็ถามลุง ว่าลุงไปเปิดหรอ ลุงก็บอกว่า "เปล่าๆ ไม่ได้เปิด" แต่มันจะเปิดแบบนี้ทุกวันเลย 

    และมีอยู่วันหนึ่ง ลุงเกิดไม่สบายจำเป็นต้องกลับบ้านไปเอายา แล้วมันก็จำเป็นที่ต้องมีคนมาเฝ้าเพราะว่างานมันเยอะ พ่อก็เลยให้คุณกรมานอน คุณกรก็ต้องจำเป็นที่จะต้องมานอน แต่ก่อนที่คุณกรจะมานอนเนี่ย ก่อนลุงจะไปลุงก็บอกกับคุณกรไว้อย่างว่า "ยังไงก็นอนให้มันเร็วๆนะลูก นอนก่อน 5 ทุ่มก็จะดีมาก ถ้ามีอะไรก็เปิดไฟไว้ ไม่ต้องปิดไฟหรอก ชั้น 2 อ่ะเปิดไฟไว้แล้วก็นอนซะ" คืนนั้น พอลุงกลับไป พ่อก็กลับไป  คุณกรก็รีบอาบน้ำตั้งแต่ 4 ทุ่มกว่าเพื่อที่จะขึ้นไปนอน พอขึ้นไปนอนปุ๊ปก็เปิดไฟตามที่ลุงบอกเลย เปิดไฟเสร็จก็ไหว้พระและก็ขึ้นนอนบนเตียง และก็หลับไปเลยแล้วก็สะดุ้งตื่นอีกที ไม่รู้ว่าก็โมงแล้ว คุณกรเหมือนจะได้ยินเสียงแมวร้องดังมาก (ประมาณคล้ายๆ เวลาแมวมันมาหาคนแล้วขออาหาร ประมาณนั้นเลย)  คุณกรก็พยายามสอดส่ายสายตามองหา  และก็ไฟที่คุณกรเปิดไว้ก่อนนอนนั้นปิดไปหมดเลย พอมองหาแมวไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอแมวอยุ่ที่ขอบประตูตรงหน้าห้องพอดีเลย คุณกรก็ไม่ได้คิดอะไร ก็เลยลุกไปไล่ และก็ไปเตะมัน มันก็วิ่งๆแล้วก็หันกลับมามอง แล้วมันก็วิ่งหนีลงไปคุณกรก็ไม่ได้คิดอะไรก็กลับมานอน พอจะเริ่มเคลิ้มๆหลับไป เหมือนจะมีเสียงเดินเท้าเปล่าเดินลากไปกับพื้นปูนที่อยู่หน้าห้อง ครืดๆๆ อยู่อย่างนี้ คุณกรก็พยายามเอียงหูฟัง พยายามมองไปแล้วแต่ว่ามองไม่เห็นได้ยินแต่เสียง และนอนนิ่งๆ ฟังไปซักพักนึงหลังจากนั้นคุณกรก็เห็นเป็นเงาของคน ที่สะท้อนจากแสงสว่างจากด้านนอก เป็นเงาคนยืนจ้องคุณกรอยู่ที่หน้าประตูห้อง เงานั้นเป็นคนที่ผมยาวๆ แต่ไม่เห็นหน้า เงานั้นก็ยืนจ้องคุณกรอยู่ซักพักนึง และก็ค่อยเดินเข้ามาๆ จังหวะนั้นคุณกรเริ่มกลัวละ ก็ทำได้แต่นอนนิ่งๆ เงานั้นก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ พอเงานั้นห่างจากเตียงของคุณกรประมาณซักเมตรนึง เงานั้นก็กระโดดขึ้นมาเหยียบที่ตัวคุณกร เหยียบตรงช่วงหน้าอกพอดี แต่ความรู้สึกของคุณกรตอนนั้นมันไม่มีความหนักของคน แต่เป็นความแน่นหน้าอกเฉยๆ  พอกระโดดขึ้นมายืนปีป แล้วก็ก้มหัวลงมาแล้วเอามือของเขาลงมาแตะที่หมอนของคุณกรที่นอนอยู่ด้วยมือทั้งสองข้าง และก็เอาหน้าค่อยๆก้มเข้ามาใกล้ๆคุณกร พอก้มมาเรื่อยๆ เส้นผมของผู้หญิงคนนั้น ก็ค่อยไชๆและก็พันๆที่คอคุณกร ณ ตอนนั้น คุณกรก็กลัวจนช็อค
ไม่ไหวแล้ว แทบจะฉี่แตก แต่ทำอะไรไม่ได้มันแน่นหน้าอก และก็คิดถึงพระ แต่ก็ท่องอะไรไม่ได้ เพราะว่ากลัวไปทั้งหมด ทำอะไรไม่ถูก  ผู้หญิงคนนั้นก็ยังอยู่แบบนั้นเป็นเวลาเกือบ 10 นาทีได้  คุณกรก็นึกในใจว่า คุณต้องการอะไร ต้องการให้ผมช่วยอะไร หรือผมไปทำอะไรผิดมั๊ย ให้คุณพูดก็ได้  หลังจากที่คุณกรนึกซักแปปนึง ก็มีเสียงพูดกลับมาว่า ออกไปจากที่ของกู เป็นเสียงผู้หญิงแหลมๆ ที่นี่ของกู กูไม่ให้อยู่ พอเขาพูดประโยคนี้จบ คุณกรก็คิดในใจว่า ครับๆ ผมต้องมาทำงาน เดี๋ยวผมทำบุญไปให้ละกันแต่อย่ามากวนผมแบบนี้อีกเลย ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า กูไม่เอา ไอแก่นั่นก็พูดมาคนนึงแล้ว กูจะอยู่ของกูแบบนี้ และก็เปลี่ยนภาษาที่เขาพูดจากภาษาไทยเป็นภาษาเขมรที่คุณกรจับใจความไม่ได้ และไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร  เขาก็พูดยาวๆเป็นภาษาเขมรและตบท้ายด้วยคำว่า ให้ออกไป และผุ้หญิงคนนี้ก็ค่อยๆลุกขึ้น แล้วค่อยๆจางหายไปเลือนไป คุณกรก็พยายามรวบรวมสติ ลุกขึ้นไปเปิดไฟ แต่พอคลำไปเจอสวิตไฟ ปรากฏว่าสวิตช์ไฟนั้นเปิดอยู่แล้ว หรือว่าไฟมันดับ คุณกรก็ตัดสินใจลงมาจากชั้น 2 ลงมาที่ชั้นล่างแล้วก็เปิดประตูออกมายืนข้างนอกเลยแล้วก็โทรหาพ่อ พ่อก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกๆ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว คุณกรก็ดูเวลา เวลา ณ ตอนนั้นเป็นเวลาตี 4 แสดงว่า คุณกรอยู่กับวิญญาณตนนั้นเกือบ 3-4 ชั่วโมงได้ 

    เช้ามาคุณกรก็นั่งรออยู่ด้านนอกตรงนั้น เดินไปนู่นไปนี่บ้าง ไม่เข้าข้างในเลย จนพ่อมาแล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง พ่อก็เลยพาไปทำบุญ ทำบุญเสร็จ พ่อก็เลยโทรไปหาเจ้าของตึกเนี๊ย ว่าตึกนี้มีอะไรมั๊ย ทำไมเจอแบบนี้ เป็นแบบนี้ เจ้าของตึกก็บอกว่าไม่มีอะไรนะๆ  แต่คุณกรก็ไปถามร้านค้าข้างๆ  แรกๆเขาก็บอกไม่มีอะไรม๊างง คิดไปเองรึป่าว  คุณกรก็บอกไม่หรอก ผมก็อายุประมาณนี้แล้วไม่ใช่ 12-13 ลุงที่ร้านค้าก็ถามว่า แล้วเอ็งเจอแบบไหน คุณกรก็เล่าให้แกฟังว่าเจออะไรมาบ้าง แล้วเขาก็บอกว่า หรอๆ แล้วมีประโยคนึงที่คุณกรพูดให้เขาฟังว่า ผู้หญิงคนนี้พูดเป็นภาษาเขมรด้วย ลุงเขาก็ทำท่าเหมือนตกใจ แล้วลุงเขาก็บอกว่า แต่จริงๆแล้วมันก็มีอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคนๆเดียวกันรึป่าว คือในตึกนี้ เคยเปิดเป็นตึกเย็บผ้าโหล แล้วมีทั้งพวก พม่าก็มี เขมรก็มี  ลาวก็มี แล้วทีเนี๊ย มันมีอยู่วันหนึ่งหญิงสาวชาวเขมรทะเลาะกับเจ้าของบริษัททะเลาะกันรุนแรง และก็อยากจะกลับบ้าน เคยไปเล่าให้ลุงร้านขายของฟัง ว่าจะกลับบ้านแต่เจ้าของบริษัทเนียเขายึด พาสปอร์ต ไว้กลับก็ไม่ได้  ตังเงินเดือนก็ไม่ให้  เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ทำงานไปก็โดนด่า เขาก็เลยตัดสินใจที่จะผูกคอตายกับตู้เสื้อผ้าในห้องชั้น 3 ท่าตายคือนั่งตาย พอขึ้นไปดูศพ สภาพศพคือใช้เสื้อในของตัวเองผูกคอแล้วก็ผูกกับหูตู้เสื้อผ้า แล้วก็นั่งขาเหยียดตาย และก็เป็นเป็นได้ที่เสียงที่คุณกรได้ยินทุกเที่ยงคืน อาจจะเป็นเสียงขาของเขาดิ้นทุรนทุรายตอนที่ฆ่าตัวตาย แล้วคนที่ฆ่าตัวตายก็ต้องทำซ้ำๆไปจนก่ว่าจะหมดอายุขัย 


    ที่นี้พอลุงกลับมา คุณกรก็เล่าเรื่องให้ลุงฟัง ลุงก็บอกคุณกรว่า บอกแล้วใช่มั๊ยให้นอนเร็วๆ แล้วก็เปิดไฟไว้ คุณกรก็บอกว่าผมทำแล้ว แต่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วจะให้ผมทำยังไง แล้วลุงก็บอกกับคุณกรว่า ไม่เป็นไรหรอก เอ็งไม่ได้นอนทุกวัน แต่ลุงเนี่ยสินอนทุกวัน เจอหนักกว่าเอ็งอีก แต่ที่ลุงบอกทีแรกบอกว่าเต็มที่ก็แค่สะกิด  แต่ไหนๆก็เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เขาบอกว่า วันแรกที่เข้ามานอน ตอนนั้นคุณกรยังไม่ได้เอาไม้อัดไปตีขวางตรงบันได ระหว่างที่เขานอนอยู่เนี่ยเวลาเกือบเที่ยงคืนละ เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนที่คุณกรได้ยินทุกวัน แต่ลุงไม่ขึ้นไปดู ลุงเขาคิดว่าใครจะทำอะไรก็ช่างแต่อย่ามายุ่งกับเรา แต่พอหลับไปเนี่ย จะมีมือเย็นๆ มาจับที่ข้อขาเขาแล้วก็บีบ แล้วพยายามกระชาก กระตุกๆ ลุงออกไปจากที่นี่ แต่พอลุงลืมตาขึ้นมา เงานั้นไม่มีหัว มีแต่หัวไหล่ลงมาถึงเอว ตอนระหว่างที่โดนจับขาอยู่เนี่ย ลุงก็รู้ตัวแล้วว่าโดนแล้วแหละ เขาก็พยายามควานหามีดหมอของเค้า พอคว้ามีดได้แล้วเงื้อขึ้นมา เงานั้นก็หายไป แต่มาโผล่อีกทีคือมายืนค่อมลุงอยุ่บนหัวนอนของลุง แล้วก็ก้าวขากระทืบที่หน้าอกของลุง ลุงบอกว่ามันแน่นแบบว่ามีดที่อยู่ในมือกำเอาไว้ไม่ไหว ต้องยอมอนให้เขากระทืบเป็นสิบๆที แล้วผู้หญิงคนนี้ก็พูดเป็นภาษาเขมร และก็ตบท้ายด้วยคำว่า จะลองดีกับกูหรอๆ ลุงก็ท่องคาถาชินบัญชรไป 2-3 รอบจนถึงประมาณตี 4 กว่าจะหลุดจากผู้หญิงคนนี้ได้ เวลาประมาณเดียวกันที่คุณกรหลุดจากผู้หญิงคนนี้เช่นเดียวกัน






# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณกร The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | ล่องเรือหลอน


ล่องเรือหลอน

เป็นเรื่องเล่าของป้าแมว ที่นำมาถ่ายทอดให้คุณคิงฟัง ซึ่งมีคนเล่าให้ป้าแมวฟังอีกที ความเชื่อของชาวเรือมีหลายรูปแบบ ในกรณีของการไหว้เรือ หรือไหว้หัวเรือ คุณคิงเล่าว่า ครั้งนึงเคยมีเพื่อนไปเป็นลูกเรือหาปลา

    ในการออกไปหาปลาแต่ละครั้ง เพื่อนๆบนเรือ มักจะคอยเตือนอยู่เสมอๆว่า "ห้ามมองขึ้นไปบนเสากระโดงเรือตอนกลางคืนนะ เฉพาะกลางคืน แต่กลางวันจะนอนมองยังไงก็ได้ แต่กลางคืนอย่ามอง ไม่งั้น คงไม่กล้าออกเรือหาปลาอีกแน่"
    และได้เตือนอีกอย่างหนึ่งว่า ตอนกลางคืน ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆในห้องเครื่อง ห้ามไปดูเด็ดขาด เพราะตามความเชื่อ มันคือการตรวจอะไรต่างๆของแม่ย่านาง หรืออาจจะเป็นคนเก่าคนแก่ ที่เป็นเจ้าของเรือ กำลังเดินอยู่ภายในของเครื่อง หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ วิญญาณของคนที่ถูกเครื่องจักรของเรือ ดูดเข้าไปปั่นจนเสียชีวิต กำลังเดินวนเวียนอยู่ในที่ที่ตนเองเสียชีวิต

    ครั้งนึง เรือที่เพื่อนของคุณคิงนั่งไปหาปลา เกิดติดพายุฝนรุนแรง ท้องฟ้าสีดำมืดปั่นป่วนจนมองไม่เห็นแสงจากพระอาทิตย์ คลื่นลูกยักษ์โหมซัดเข้าหาเรือครั้งแล้วครั้งเล่า จนเรือจะพลิกคว่ำเข้าไปทุกทีๆ
    เพื่อนวิ่งหาธูป เพื่อที่จะเอามาจุดไหว้ขอให้สิ่งศักสิทธิ์ต่างๆคุ้มครอง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เพราะส่วนมาก คนทางแถบนั้นไม่ใช่คนที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเอาบุหรี่มาจุดสิบหกมวน แล้วปักไว้ที่หัวเรือ พร้อมกับหาถุงพลาสติกใสมาครอบไว้ แล้วนั่งไหว้ขอให้รอด
    พอมองไปที่หัวเรือ ปรากฏว่าเห็นเป็นเงาดำๆ ลักษณะเหมือนผู้หญิง ยืนอยู่บนหัวเรือ ไม่กี่อึดใจต่อมา พายุที่โหมกระหน่ำก็ค่อยๆซาลง ลูกเรือทุกคนต่างออกมานั่งคุกเข่า หันหน้าไปทางหัวเรือ แล้วก้มลงกราบ
    กลับมาถึงเรื่องเล่าของคนที่เคยถ่ายถอดให้ป้าแมวฟัง ตัวเค้าเองเป็นคนที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรือมาก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม คุณลุงของเค้าเป็นไต๋ก๋งเรือ จึงได้บอกกับคุณลุงว่า ช่วงนี้ว่าง อยากลงไปในเรือด้วย อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง คุณลุงก็อนุญาต

    ก่อนจะลงเรือ คุณลุงก็สอนวิธีการต่างๆที่ควรรู้ให้ จนมีอยู่คืนหนึ่ง เค้าได้ยืนมองออกไปในน้ำทะเลตอนกลางคืน ไปเห็นเข้ากับอะไรสักอย่าง สีออกเขียวๆฟ้าๆ กำลังลอยเข้ามาหาเรืออย่างช้าๆ เค้ายืนมองอย่างพินิจ รู้สึกว่ามันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
    ก็เลยไปเรียกคุณลุงให้มาดู คุณลุงเดินมาถึงก็ยืนมองอยู่พักนึง แล้วก็หันหลัง เดินเข้าไปในห้องบังคับเรือ เพื่อหันหัวเรือหนีเจ้าสิ่งนั้น พร้อมกับเดินเครื่องเต็มกำลัง เค้าเริ่มรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมคุณลุงถึงต้องพยายามหนีเจ้าก้อนนั้น

    จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร สักพักคุณลุงก็จอดเรือ แล้วบ่นออกมาเบาๆว่า "อืมมม สงสัยจะหนีไม่พ้นจริงๆว่ะ" ทำให้เค้าเกิดความสงสัยมาก จึงถามคุณลุงว่าทำไมถึงพูดอย่างนี้ แล้วมันแปลกประหลาดอะไรนักหนากับไอ่ก้อนนั่น ที่มันลอยเข้ามาหาเรือ
    คุณลุงก็บอกให้ลองไปดูดีๆ จะเห็นได้ว่ามันลอยทวนน้ำเข้ามาหาเรือ เร่งเครื่องหนีมาได้สักระยะแล้ว แต่มันกลับตามเรือมาติดๆ ก็เลยถามคุณลุงว่าอะไร คุณลุงบอกว่า "นี่ดูไม่ออกจริงๆเหรอ นั่นมันศพ"
    ก็เลยให้ลูกน้องลงไปโยงเชือกผูกกับศพเอาไว้ แต่จะไม่ดึงขึ้นเรือมาเด็ดขาด ใช้วิธีการลากตามหลังเรือเอา ลูกน้องที่ลงไปผูกเชื่อ ขึ้นมาบอกว่า "โห่ไต๋ ผมนี่บานเป็นแพเลย ศพอืดแล้วอึดอีก จนไม่กล้ามองเลย" ลูกน้องของคุณลุงคนนี้เป็นคนที่ใจบุญ ขี้สงสาร จึงรับอาสาลงไปทำให้

    ในขนะที่กำลังลากศพไปได้สักระยะ พายุเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนฝนเทลงมาเหมือนกับฟ้ารั่ว ชนิดที่ว่าเดินเรือไปไหนแทบไม่ได้ ไต๋จึงพยายามมองหาฝั่งที่ใกล้ที่สุด เพราะการอยู่ในดงพายุแบบนี้นานๆ เป็นสิ่งที่อันตรายมาก

    จึงค่อยๆขยับเรือไปทีละนิด หาเกาะอะไรก็ได้สักเกาะ แล้วนำเรือเข้าจอด เพื่อไม่ให้เรืออับปางอยู่กลางทะเล จนไปเห็นเกาะแห่งหนึ่งอยู่ไกลลิบตา ทำให้ทุกคนบนเรือดีใจกันยกใหญ่ ที่จะได้ลงเกาะ
    พอยิ่งขับใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง นั่งล้อมวงสุมไฟกันประมาณเจ็ดแปดคนอยู่ในเกาะ ทำให้ลูกเรือร้องดีใจที่จะได้เพื่อนนั่งดื่มนั่งกันในคืนนี้ แต่อยู่ๆ ไต๋ก็รีบหยุดเรือ แล้วหันมาบอกกับทุกคนว่า "ไม่ต้องลงแล้วล่ะ"

    ทุกคนอยู่ในอาการงุงงง จึงถามไต๋ว่า "อ่าว ทำไมไม่ลงอ่ะ" ไต๋บอกว่า "พายุก็แรง จะลงไปยังไงล่ะ ผีทั้งนั้น ไม่ใช่คนนะน่ะ" ลูกเรือแย้งขึ้นมาว่า "ไต๋รู้ได้ไง ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงฝั่งเลย"
    ไต๋พูดเน้นเสียงว่า "ดูดีๆดิ ประสบการณ์เรือนี่น้อยมากเลย คนอะไรวะ มันจะมานั่งก่อกองไฟกลางพายุอย่างเงี้ย แล้วไฟมันก็ไม่มอดเลยซักนิด" ต่างคนต่างงง คิดว่ามันจะใช่ผีจริงหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นผี ทำไมมันถึงมองเห็นชัดขนาดนั้น
    แต่ไต๋ก็ยังยืนยันว่าพวกมันเป็นผี จึงค่อยๆเดินเรือเลาะตามเกาะแห่งนี้ไปเรื่อยๆ แต่ไต๋จะไม่จอดหยุดเรืออยู่กับที่เด็ดขาด จนพายุเริ่มสงบ ตัวคนที่เล่าเอง เพิ่งลงเรือมาเป็นครั้งแรก ไม่สามารถช่วยอะไรใครได้
    จึงลงไปหลบอยู่ข้างในจนเผลอหลับ มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาช่วงกลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ ช่วงนั้นพายุต่างๆได้สงบลงแล้ว จึงเดินขึ้นมาข้างบน คิดในใจว่า ทุกคนคงกำลังนั่งดื่มกันอยู่ เพราะปกติ ลูกเรือมักจะนอนเวลาไม่ตรงกัน
    หูก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง เหมือนคนกำลังนั่งล้อมวงทานข้าวกันอยู่ในห้องครัว เค้าก็เลยเดินแวะเข้าไปดู พอเข้าไปถึงห้องครัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปมอง สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงที่ขึ้นอืดอยู่ท้ายเรือกับคนอีกประมาณเจ็ดแปดคน นั่งล้อมวงคดข้าวกันอย่างเมามัน
    แล้วก็ค่อยๆแหงะหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าเขียวๆขึ้นสีม่วงจับจ้องมาทางเค้าแบบตาไม่กระพริบ ส่วนคนอื่นๆ เห็นเป็นลักษณะของคนตัวสีนำตาลเข้มทั้งตัว กำลังนั่งใช้มือจกข้าวใส่ปาก จนเค้าสลบหงายท้องทันที

    ตื่นมาอีกที ก็ตอนที่ทุกคนช่วยปฐมพยาบาลให้ เค้าจึงเล่าให้ทุกคนฟัง คุณลุงก็งงว่าทำไมวิญญาณเหล่านี้ถึงเข้ามาในเรือได้ พอถามกับลูกเรือก็ได้ความว่า ลูกเรือคนที่ใจบุญ ที่ลงไปมัดศพ เอาธูปมาปักหนึ่งดอกในสำรับอาหารที่เตรียมไว้ให้ แล้วบอกกับศพของผู้หญิงคนนั้นว่า ถ้าหิวก็ขึ้นมากินได้
    แต่ธูปดอกนั้นมันไม่ได้เชิญแค่ดวงเดียว มันกลับไปเชิญเอาวิญญาณแถวนั้นให้ยกโขยงเข้ามาด้วย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด





# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณคิง The Ghost
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน

หญิงสาว เที่ยงคืน เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ท...