วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | เพื่อนข้างบ้าน



เพื่อนข้างบ้าน

 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวคู้บอน เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา คุณหนุ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงต่างๆ เป็นอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่ง ปลูกติดกันทั้งหมดเจ็ดหลัง คุณหนุ่มจะอยู่หลังท้ายสุด ถัดออกไปอีกจะเป็นบ้านเดี่ยวยกสูง
    คุณหนุ่มเปิดธุรกิจนี้ให้แฟนกับน้าสาวของแฟนดูแล เพราะคุณหนุ่มต้องทำงานกับคุณพ่อ จึงไม่ค่อยได้มีเวลาดูแล แต่ก็ยังคงอาศัยหลับนอนอยู่ที่อาคารพาณิชย์แห่งนี้ จนอยู่ได้ประมาณสองถึงสามปี ก็เริ่มรู้จักเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
    ส่วนบ้านเดี่ยวด้านข้าง มีอาชีพเป็นโปรกอล์ฟ ทั้งสามีและภรรยา มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นานๆทีภรรยาถึงจะพาลูกมาเที่ยวหาที่บ้าน ช่วงเย็นของทุกวัน พี่ผู้ชายผู้เป็นสามี จะเดินออกมาทานข้าวที่หน้าบ้านเป็นประจำ

    มีอยู่วันนึง คุณหนุ่มนั่งทำงานอยู่ในห้องบนชั้นสอง เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แฟนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง แล้วบอกว่า "เฮียๆ ใครไม่รู้มาเคาะประตูบนดาดฟ้า" ซึ่งดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนี้ จะเชื่อมหากันทุกหลัง
    คุณหนุ่มบอกกลับไปว่า "เสียงลมหรือเปล่า ลมมันแรง" แฟนก็แย้งว่า "ไม่ใช่เสียงลม มันเป็นเสียงเคาะประตู" คุณหนุ่มจึงลุกเดินขึ้นไปดู ไปยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นดาดฟ้า ก็ได้ยินว่ามันมีเสียงเคาะจริงๆ "ก๊อกๆๆ"
    คุณหนุ่มรู้สึกแปลกใจมาก จึงได้เดินไปหยิบอาวุธออกมาเพื่อป้องกันตัว คุณหนุ่มบิดลูกบิดประตู แล้วผลักมันออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏใครอยู่หลังประตู มีเพียงความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดาดฟ้า
    คุณหนุ่มเดินขึ้นไป แล้วใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆบริเวณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินกลับลงมา แล้วล็อคประตูตามเดิม แต่แฟนค่อนข้างวิตก เพราะกลัวว่าจะเป็นขโมย
    แต่ยังไม่ทันที่คุณหนุ่มจะเดินกลับลงไป เสียงเคาะมันก็ดังขึ้นอีก "ก๊อกๆๆ" คุณหนุ่มหยุดชะงักทันที ส่วนแฟนก็วิ่งหนีลงไปข้างล่าง คุณหนุ่มคิดในใจว่าถ้าเคาะอีกทีจะเปิดออกไปดูว่าเป็นใครกันแน่

    สักพักเสียงเคาะก็ดังขึ้นอีกครั้ง คุณหนุ่มไม่รอให้สิ้นเสียง รีบเปิดพรวดออกไปทันที แล้วกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณ ก็มีเพียงแค่ความมืด คุณหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าคงจะไม่ใช่คน อาจจะเป็นเจ้าที่มาเตือน
    เพราะอาคารพาณิชย์แห่งนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังไม่มีศาลพระภูมิ และภายในบ้านก็ยังไม่มีพระ แต่คุณหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด จึงปิดประตู แล้วเดินลงมาข้างล่าง เสียงเคาะยังคงดังอยู่ในขณะที่คุณหนุ่มกำลังเดินลง
    คุณหนุ่มบอกกับแฟนว่า "ไม่ต้องคิดมาก ถ้าเกิดได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ" แฟนก็ถามปากสั่นๆว่า "เมื่อก่อนไม่เห็นได้ยินอะไรเลย แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงเป็นแบบนี้" คุณหนุ่มก็บอกกับแฟนว่า "คิดแบบนี้ละกัน ที่นี่เป็นอาคารสร้างใหม่ เราพึ่งมาอยู่ใหม่ ศาลพระภูมิก็ไม่มี พระก็ไม่มี เค้าเลยอาจจะมาเตือน"
    จนเวลาผ่านมาประมาณหนึ่งอาทิตย์ เสียงเคาะยังคงดังทุกวัน ในช่วงเวลาเที่ยงคืนถึงตีสอง จนแฟนนอนไม่หลับ ต้องรอให้คุณหนุ่มกลับเข้าบ้านก่อน

    มีอยู่วันหนึ่ง แฟนตึ่นมากลางดึก เพราะปวดปัสสาวะ จึงเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าแฟนร้องกรี้ดจนลั่นบ้าน วิ่งเตลิดเข้ามาหาคุณหนุ่ม พูดปากสั่นๆว่า "ผีหลอกๆๆ"
    คุณหนุ่มพยายามปลอบแฟนแล้วถามว่า "ตาฝาดหรือเปล่า" แต่แฟนเอาแต่ร้องไห้เหมือนคนสติแตก คุณหนุ่มจึงถามว่า "เป็นอะไร" สักพักแฟนก็บอกว่า เห็นผู้ชายไม่มีหัว ยืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นดาดฟ้า ซึ่งบันไดจะอยู่ถัดจากห้องน้ำไปประมาณสี่เมตร
    คุณหนุ่มเดินออกไปเปิดไฟดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ จนแฟนทำธุระเสร็จ แล้วกลับมานอน แฟนบอกกับคุณหนุ่มว่า ต่อไปนี้ ถ้าเกิดว่าจะเข้าห้องน้ำ ให้ไปเป็นเพื่อนหน่อย เพราะว่ากลัวมาก รุ่งเช้า คุณหนุ่มจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็บอกว่า เดี๋ยวจะหาพระมาให้

    เย็นวันหนึ่ง ช่วงเวลาประมาณห้าโมงกว่า คุณหนุ่มกลับมาจากที่ทำงาน ก็เห็นพี่ผู้ชายที่อยู่บ้านข้างๆ นั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านข้าวหน้าบ้าน ซึ่งพักหลังๆ มักจะเห็นพี่ผู้ชายทำหน้าเศร้าหมองตลอดเวลา ดูดบุหรี่จัด เหมือนคนมีความทุกข์หนัก
    คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งคุยด้วย "พี่เป็นไร ทำไมดูเครียดจัง ดูหน้าหมองๆ" พี่ผู้ชายตอบกลับมาสั้นๆว่า "ไม่มีอะไร" จากนั้นก็เดินกลับเข้าบ้านไป คุณหนุ่มจึงเข้าไปนั่งทำงานในบ้านปกติ
    จนเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ก็ได้ยินเสียงคนกดออดหน้าบ้านหลังข้างๆ คุณหนุ่มจึงลุกขึ้นไปดู เห็นว่ามีผู้ชายสี่คนยืนอยู่หน้าบ้าน หนึ่งในนั้นถามคุณหนุ่มว่า "น้อง เจ้าของบ้านเนี่ยอยู่มั้ย วันนี้วันเกิดมัน เลยจะมาเยี่ยม"
    คุณหนุ่มจึงตอบว่า "อยู่ดิ เมื่อกี้พึ่งกินข้าว แล้วเดินเข้าบ้านไป" เพื่อนของพี่ผู้ชายก็พูดต่อว่า "เนี่ย กดออดเรียกตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครมาเปิดให้เลย ในบ้านก็เห็นเปิดไฟไว้อยู่"
    คุณหนุ่มถามว่า "แล้วได้โทรนัดเค้าหรือเปล่า" ก็ได้รับคำตอบว่า "เพิ่งวางหูไปเมื่อกี้เนี่ย โทรคุยกันอยู่เนี่ย" จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตู เพื่อนทั้งสี่คนก็เริ่มแปลกใจ
    จึงได้โทรไปหาภรรยาของพี่ผู้ชาย สักพักภรรยาก็ขับรถมาเปิดประตูให้ เพราะว่าบ้านของภรรยาอยู่ไม่ไกลมากนัก ทุกคนจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ภายในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นของอะไรบางอย่างที่เหม็นมาก ปรากฏว่าไปเห็นพี่ผู้ชายผูกคอตายอยู่ในบ้าน
    ลักษณะเอาเชือกผูกกับที่จับประตูตู้เสื้อผ้า แล้วนั่งยองๆตาย หลังจากที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ก็พบว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน และพบศพอีกศพหนึ่ง นอนอยู่ข้างๆ ถูกยัดไว้ในถุงขยะสีดำ พันด้วยสก็อตเทป ไม่มีศีรษะ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบวัน

    ตำรวจจึงช่วยกันหาศีรษะที่หายไป ค้นจนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ คุณหนุ่มเริ่มเอะใจ นึกย้อนไปถึงคืนนั้น ที่แฟนบอกว่าเห็นผู้ชายศีรษะขาด หรือว่าแฟนจะเห็นเข้ากับผู้ชายคนนี้ พอคิดได้เช่นนั้น จึงรีบวิ่งขึ้นไปดูบนดาดฟ้า ช่วงเวลากำลังโพ้เพ้ คุณหนุ่มคิดในใจว่าคงไม่ใช่แน่ ศีรษะจะมาอยู่บนดาดฟ้านี้ได้ยังไง
    พยายามใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆดาดฟ้า จนไปเจอเข้ากับถุงดำน่าสงสัยใบหนึ่ง คุณหนุ่มรู้สึกใจหายวูบ ค่อยๆหยิบถุงใบนั้นขึ้นมาเปิดดูช้าๆ กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงพุ่งทะลักออกมาจากถุง ทำให้นึกภาพออกทันทีว่าภายในถุงใบนี้มีอะไรอยู่ โดยที่ไม่ต้องเปิดดู
    คุณหนุ่มวางถุงลงกับพื้น ด้วยใจที่เต้นรัว แล้วเดินกลับลงไปข้างล่าง เพื่อที่จะตามให้ตำรวจขึ้นมาดู ในขณะนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เหมือนมีไอเย็นทาบลงที่แผ่นหลัง จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว ภายในใจของคุณหนุ่มมีแต่ความสับสนงุนงง พยายามคิดหาคำตอบ ว่าพี่ผู้ชายจะโยนศีรษะของคนๆนี้ ขึ้นมาบนดาดฟ้าหลังนี้ทำไม

    หลังจากที่ตำรวจเรียกสอบปากคำทุกฝ่ายเสร็จแล้ว ก็ได้ความว่า พี่ผู้ชายบ้านข้างๆเล่นพนันบอล จนเสียเงินไปหกล้านบาท ส่วนศพที่นอนอยู่ข้างๆ คือคนที่มาทวงหนี้ ตำรวจเข้าไปพบมีดยาวเปื้อนเลือดอยู่ในห้องน้ำหนึ่งเล่ม จึงสันนิษฐานว่าพี่ผู้ชายใช้ดาบเล่มนี้ฟันคนทวงหนี้จนศีรษะขาด

    หลังจากที่ตำรวจเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ปิดบ้านหลังนี้ไว้ห้ามใครเข้า แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง ทุกคนที่อยู่บ้านระแวกนั้น รวมทั้งคุณหนุ่ม เห็นว่าไฟในบ้านหลังนั้นถูกเปิดขึ้น และเห็นพี่ผู้ชายเดินไปเดินมาภายในบ้าน
    เป็นแบบนี้อยู่สามวัน จนภรรยาต้องให้การไฟฟ้าเอาสวิทช์ไฟของบ้านหลังนี้ออก และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหนุ่ม The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จากคลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | เรื่อง เขื่อนประตูผี



เขื่อนประตูผี

     เป็นประสบการณ์ที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแถวย่านพุทธมณฑล เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านของรุ่นพี่ จะอยู่ข้างๆกับหมู่บ้านนึง หมู่บ้านนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ เพราะสร้างเสร็จแล้วจะขาย แต่ก็ขายไม่ได้
    ส่วนทางเข้าหมู่บ้านจะลึก และเปลี่ยวมาก แท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซค์จะไม่กล้าเข้าไป บ้านของรุ่นพี่จะต้องใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้านนี้ แล้วอ้อมไปข้างๆหมู่บ้าน ก็จะเป็นสวน แล้วต้องผ่านสวนเข้าไป จึงจะถึงบ้าน
    แต่เพราะรุ่นพี่ไม่กล้าใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ก็ใช้วิธีพายเรือข้ามฝากไป จากถนนใหญ่ข้างนอก ที่สามารถพายเรือไปถึงบ้านได้ เลยลงไปทางหมู่บ้านนิดหน่อย จะมีเขื่อนที่เรียกกันว่าประตูผี จะเป็นทางน้ำหักศอก ตรงประตูเขื่อน น้ำจะวนอยู่กับที่ แล้วดูดลงไปข้างล่าง

    ตอนนั้นรุ่นพี่เลิกงานกลับมาถึง ก็เห็นพวกกู้ภัยมากันหลายคัน ก็คิดว่าสงสัยจะมีคนตายอีกแล้ว รุ่นพี่จึงเดินเข้าไปถาม "พี่ มีคนตายหรอ" กู้ภัยบอกว่า "ใช่ เรือถูกน้ำดูด เรือไปกระแทกกับประตูเขื่อนแตก" แล้วกู้ภัยที่จะลงไปช่วย ต้องใช้เชือกสองเส้นใหญ่ๆ เพราะน้ำตรงนั้นจะดูดแรงมาก
    ศพไปจมอยู่ใต้ประตูเขื่อน เพราะน้ำไม่พัดขึ้นมา แต่จะม้วนวนอยู่ข้างล่างตลอด และนี่ก็ไม่ใช่รายแลก หลายรายที่เอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้ เพราะมันเป็นทางหักศอก ถ้าหลุดเข้าไปแม้แต่นิดเดียว น้ำจะดึงเข้าไปตีกับประตูเขื่อน แตกหมดทุกลำ จึงได้มีคนออกมาเตือนว่า เวลาน้ำขึ้น ห้ามพายเรือไปตรงนั้น

    มีอยู่วันนึง ตอนที่รุ่นพี่เลิกงาน ก็ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วกลับมาดึก ตอนเช้าของวันนั้น คุณน้าได้กำชับกับรุ่นพี่ว่า "วันนี้อย่ากลับดึกนะ เพราะมันเพิ่งมีคนตายใหม่ๆ แล้วไม่รู้ว่าไอ้เขื่อนตรงนั้น มันจะเอาอีกสักกี่คน ถึงจะพอ"
    พอรุ่นพี่เดินมาถึงที่เรือ ก็ปลดเชือกผูกเรือ แล้วก็พายเรือกลับ ช่วงที่ผ่านสวนมะพร้าว ก็ได้ยินเสียงคนพายเรือตามมาจากข้างหลัง รุ่นพี่ก็อุ่นใจที่มีเพื่อนร่วมทาง พอจังหวะที่รุ่นพี่ยกไม้พายขึ้นมาบนเรือ เสียงพายเรือข้างหลังก็เงียบ
    พอเอาไม้พายจ้วงลงน้ำแล้วพาย ก็ได้ยินเสียงพายเรือมาจากข้างหลังเหมือนกัน รุ่นพี่ก็เอะใจ แต่ก็ยังไม่หันไปดู จึงพายเรือจนเลยสวนมะพร้าวไป อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงบ้าน
    รุ่นพี่จึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บนโลงศพ แล้วใช้มือที่ใหญ่กว่าคนปกติประมาณสิบเท่าทั้งสองข้าง กวักลงน้ำ ค่อยๆพายโลงศพไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม"
    รุ่นพี่มองตาเหลือก ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณน้าของรุ่นพี่ ที่ยืนรออยู่ตรงศาลาท่าน้ำ รีบกระโดดลงน้ำ แล้วลากเอาเรือของรุ่นพี่เข้าเทียบศาลา แล้วรีบลากแขนรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับพูดว่า "อย่าหันไปมอง เอ็งรีบขึ้นบ้านก่อน"
    คุณน้าลากรุ่นพี่เข้าไปในห้องพระ แล้วยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็นั่งกอดพระพุทธรูปตัวสั่นปากสั่น สักพักก็เริ่มสงบสติได้ จึงได้ถามคุณน้า แต่คุณน้าตอบกลับมาว่า "เอ็งไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปวัดด้วยกัน" คืนนั้นรุ่นพี่นอนกอดพระพุทธรูปตัวสั่นทั้งคืน ส่วนคุณน้าก็นั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน

    เช้ามา คุณน้าก็ได้พารุ่นพี่ไปวัด หลวงพ่อท่านบอกว่า "ต้องให้มันอยู่ในโบสถ์สามวัน ไม่งั้นคงไม่รอด" รุ่งพี่จึงได้เข้าไปอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็เอาสายสินญ์มาพันไว้รอบๆโบสถ์ แล้วขึงด้านในไว้อีกหนึ่งชั้น
    แล้วคุณน้าก็กำชับว่า "ให้ทำตามที่หลวงพ่อบอก ถ้ายังไม่อยากตาย" แล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า "ถ้าเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร อย่าออกนอกสายสินญ์ อย่าออกนอกประตูโบสถ์ อยู่ในเสมาของโบสถ์ เดี๋ยวจะให้พระกับเณรมาเฝ้า"
    แม้แต่ช่วงกลางวัน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมานอกโบสถ์ ถ้าปวดก็ให้ใช้กระโถนไปก่อน ตกกลางคืน ประมาณสามทุ่ม รุ่นพี่ได้ยินเสียงคนพายเรือ อยู่หน้าท่าน้ำวัด "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" สักพักก็เงียบ อีกสักพักเสียงก็มาอีก
    เณรที่มาเฝ้า ต่างเอาจีวรคลุมโปงแล้วนอนกอดกันตัวสั่น รุ่นพี่จึงบอกกันเณรว่า "เณร ลองเปิดหน้าต่างโบสถ์แล้วดูที่ท่าน้ำหน่อย ใครพายเรืออยู่อ่ะ" เณรตอบว่า "ไม่กล้าดูหรอก ผมก็กลัว"

    จนเข้าคืนวันที่สาม เป็นวันพระใหญ่พอดี วันนี้มีทั้งพระและเณรมาอยู่เป็นเพื่อนหลายรูป แต่วันนี้ รุ่นพี่ขอให้เปิดประตูโบสถ์เอาไว้ เพราะอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่พายเรืออยู่ที่ท่าน้ำวัด
    เวลาประมาณห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงพายเรือเหมือนเดิม "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" รุ่นพี่จึงหันไปมองที่ท่าน้ำวัด ปรากฏว่าเห็นหัวคน ค่อยๆโผล่ขึ้นมาที่ท่าน้ำ ลักษณะคอยาวๆ หน้าตอบๆซีดๆ ดวงตากลวงโบ๋ แสยะยิ้มให้รุ่นพี่
    แล้วเสียงพายก็ยังดังอยู่ตลอด "จ๋อม...จ๋อม...จ๋อม" จนรุ่นพี่ช็อคนั่นตัวแข็งอยู่กลางโบสถ์ พระกับเณรรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง แล้วรีบไปอยู่รวมกันที่กลางโบสถ์ เณรตะโกนลั่นโบสถ์ว่า "ช่วยด้วยๆๆ"
    จนหลวงพ่อกับสัปเหร่อได้ยินเข้า จึงรีบวิ่งมาหา ก็เห็นทั้งพระทั้งเณรแล้วก็รุ่นพี่ นั่งกอดกันกลมอยู่กลางโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "คืนนี้เอ็งพ้นแล้วหละ เค้าไปเอาคนอื่นแล้ว"

    รุ่นเช้าของวันถัดมา คุณน้าก็ได้มาหารุ่นพี่ที่วัด แล้วบอกว่า "มีผู้หญิง ตายอยู่หน้าประตูเขื่อนเมื่อคืน" จากนั้นหลวงพ่อก็ทำพิธีเรียกขวัญ รดน้ำมนต์ให้ทั้งเณรทั้งพระแล้วก็รุ่นพี่
    คุณน้าบอกว่า "คนที่ตาย เป็นลูกสาวของคนรู้จัก ไปพายเรืออีท่าไหนไม่รู้ โดนน้ำม่วนลงไป ศพไปติดอยู่ตรงหน้าประตู" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณบอย The shock
-Story by The Shock Radio FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - แอบตายที่ใต้เตียง



แอบตายที่ใต้เตียง

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง และได้เช่าหออยู่แถวๆมหาลัย ห้องของคุณหนึ่งจะอยู่ที่ชั้นห้า คุณหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวจนขึ้นปีสอง
    ก็ได้รู้จักกับเพื่อนคนนึง ชื่อคุณบอย เป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากที่คุณหนึ่งเริ่มสนิทกับคุณบอย จนเรียกได้ว่าซี้กันมาก จึงได้ชวนคุณบอยย้ายมาอยู่หอพักด้วย เพราะจะได้ช่วยกันหารค่าห้อง
    หลังจากที่คุณบอยย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณบอยก็มีแฟน และได้พาแฟนเข้ามาอยู่ด้วย ด้วยความที่คุณหนึ่งคิดว่าคุณบอยคงอยากจะอยู่กับแฟนแบบส่วนตัว คุณหนึ่งจึงได้ย้ายหอไปอยู่อีกซอยนึง

    หลังจากนั้นประมาณสี่เดือน คุณบอยกับแฟนก็เริ่มทะเลาะกัน โดยที่ฝ่ายหญิงคิดว่าคุณบอยแอบไปมีคนอื่น จนทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน ปรากฏว่าแฟนของคุณบอยคิดสั้นกระโดดตึกเสียชีวิต ในเวลาประมาณเที่ยงคืน ตอนที่คุนบอยกำลังหลับอยู่
    จนเช้าวันต่อมา คุณหนึ่งก็ไปเรียนที่มหาลัยปกติ โดยที่ยังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นคุณบอยเดินมาเรียนคนเดียว คุณหนึ่งก็ถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมแฟนไม่มาด้วย คุณบอยอ้ำๆอึ้งๆอยู่พักหนึ่ง
    ก็ยอมบอกว่าแฟนกระโดดตึกตายเมื่อคืน คุณหนึ่งและเพื่อนคนอื่นๆก็นึกว่าคุณบอยล้อเล่น คุณบอยจึงให้ไปถามคนที่อยู่แถวนั้นดู เพราะรู้กันเกือบทั้งซอย แต่คุณบอยก็ยังไม่ได้ย้ายออก เพราะติดที่ค่ามัดจำ
    เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน คุณบอยก็กลับมาที่ห้องปกติ จนวันที่สอง เวลาประมาณห้าทุ่ม คุณบอยนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง รู้สึกเห็นอะไรบางอย่างขยับเขยื้อนอยู่แถวๆหางตา จึงได้หันไปมอง

    ปรากฏว่าเห็นแฟนนอนตะแคง เอามือเท้าหัว จ้องคุณบอยตาไม่กระพริบอยู่บนตู้เสื้อผ้า ใบหน้าเฉยเมย จนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผิวซีดขาวออกคล้ำๆ สายตาของคนตายที่จ้องมาทางคุณบอย ทำให้รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง ทั้งที่ปกติแล้วคุณบอยเป็นคนไม่กลัวผี แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้ามันก็ชวนให้ขนหัวลุกตั้ง
    เศษเสี้ยวของความกลัวเล็กๆ ผุดขึ้นเกาะกุมอยู่ในใจ จนวันต่อมา เวลาประมาณตีสอง คุณบอยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ภายในห้องจะมืดมาก มีแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาเล็กน้อย ทำให้เห็นสภาพห้องสลัวๆ

    ปรากฏว่าคุณบอยเห็นเงาร่างหนึ่ง ยืนอยู่บนเตียง แล้วโค้งลำตัวลงมาหา เหมือนกำลังจ้องมองหน้าคุณบอย คุณบอยพยายามเพ่งมองเงาที่โค้งลำตัวลงมา จนพอมองออกว่านั้นคือแฟนของตัวเองที่เสียชีวิตไปแล้ว
    มีเสียงเย็นๆแหบๆ พูดขึ้นมาอย่างช้าๆว่า "บอย ไปอยู่ด้วยกันมั้ย" คุณบอยรู้สึกชาไปทั้งตัว ทั้งๆที่รู้ว่านั่นคือแฟน แต่ความกลัวมันเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ แทนความกล้าที่มันเริ่มพังทลายลงทีละนิด คุณบอยแข็งใจตอบกลับไปว่า "ไม่ไป ยังเรียนไม่จบ" แต่เงาดำนั่นก็ยังคงยืนจ้องคุณบอยอยู่แบบนี้ทั้งคืน

    หลังจากวันนั้น คุณบอยจะถูกแฟนมากวนอยู่ทุกๆคืน จนเริ่มอยู่ไม่ได้ จึงได้มาปรึกษาคุณหนึ่งกับเพื่อนๆที่มหาลัย คุณหนึ่งก็บอกว่าแถวนี้มีวัดอยู่ที่หนึ่ง หลวงพ่อท่านเก่งมาก จึงได้ชวนกันไปปรึกษาดู แต่พอไปถึง หลวงพ่อท่านไม่อยู่วัดพอดี
    จึงได้เข้าไปปรึกษาหมอธรรมที่อยู่ในวัดแห่งนั้น หมอธรรมแนะนำว่าให้คุณบอยลงไปนอนที่ใต้เตียงเป็นเวลาเจ็ดวัน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมาจากใต้เตียงเด็ดขาด จากนั้นคุณบอยก็ได้ทำตามคำแนะนำของหมอธรรม
    จนย่างเข้าวันที่สี่ เป็นวันสอบปลายภาค คุณหนึ่งก็งงว่าทำไมวันนี้คุณบอยถึงไม่มาสอบ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติของนักศึกษามาก หลังจากสอบเสร็จเวลาประมาณหกโมงเย็น คุณหนึ่งจึงไปหาคุณบอยที่ห้อง
    แต่ก็เข้าห้องไม่ได้ เพราะว่าลูกบิดถูกล็อกไว้จากด้านใน ซึ่งคุณหนึ่งเคยบอกกับคุณบอยไว้ว่าในช่วงที่กำลังทำพิธีนี้อยู่ ห้ามล็อคห้อง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณหนึ่งจะได้สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที

    คุณหนึ่งจึงไปตามแม่บ้านให้มาช่วยเปิดห้อง หลังจากที่เปิดประตูห้องเข้าไป มีกลิ่นบางอย่างที่เหม็นมาก ทะลักออกมาจากในห้อง จนคุณหนึ่งและแม่บ้านต้องเอามือปิดจมูก คุณหนึ่งพยายามนึกว่ามันคือกลิ่นของอะไรกันแน่ แต่ก็นึกไม่ออก
    ภายในห้องค่องข้างมืดทึบ ผ้าม่านถูกดึงปิดไว้จนมิด ประกอบกับเป็นช่วงเวลาประมาณหกโมงครึ่ง แม่บ้านจึงเดินฝ่าความมืดเข้าไปในห้อง เพื่อที่จะไปเปิดประตูหลังห้องให้ระบายกลิ่นออกไปบาง แต่ไปสะดุดเข้าอะไรบางอย่างจนเกือบหน้าคว่ำ คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงช่วยกันมอง ปรากฏว่ามันคือแขนของคุณบอย โผล่ออกมาจากใต้เตียง

    คุณหนึ่งและแม่บ้านจึงรีบช่วยกันดันเตียงออก ก็พบว่าคุณบอยนอนหงายลิ้นจุกปาก ลักษณะเหมือนถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ ที่ลำคอมีลอยแดงๆช้ำๆ เหมือนถูกบีบอย่างแรง เมื่อคุณหนึ่งเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกฉุนหมอธรรม คนที่แนะนำให้คุณบอยทำพิธีนี้มาก
    จึงได้นั่งแท็กซี่ไปหาคืนนั้นเลย หมอธรรมก็ถามว่า "ตอนที่ผู้หญิงกระโดดตึก เค้ากระโดดลงสภาพไหน" ซึ่งคุณหนึ่งก็ไม่ทราบ จึงได้โทรถามแม่บ้าน เพราะแม่บ้านเห็นสภาพศพ แม่บ้านบอกว่าเอาหัวลง
    หมอธรรมจึงบอกว่า "เวลาที่ผู้หญิงเค้ามา เค้าไม่ได้เอาเท้าเดิน แต่เค้าเอาหัวเดิน ใช้หัวไถมากับพื้น จากระเบียงหลังห้องแล้วไถไปรอบๆเตียง จึงสามารถมองเห็นคนที่นอนอยู่ใต้เตียง" และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด







# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหนึ่ง The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป Theshock Sfx


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ| เรื่อง เล่นพิเรนทร์



 เล่นพิเรนทร์

 เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวย่านท่าพระ เมื่อประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมา วันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ด้วยความว่าง คุณโน๊ตและเพื่อนๆก็มาคุยกันว่า วันศุกร์ ตอนเลิกเรียน หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว มาเล่นผีถ้วยแก้วกันดีกว่า

    คุณโน๊ตอาสาทำกระดานผีถ้วยแก้วเอง จึงได้ไปถามวิธีการมาจากคนเฒ่าคนแก่ จากนั้นก็เริ่มทำ โดยใช้กล่องกระดาษตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ใช้พู่กันจีนแต้มเลือดไก่สดๆ เขียนข้อความบนกระดาน
    พอถึงวันศุกร์ หลังจากที่ทำความสะอาดหลังเลิกเรียนเสร็จแล้ว คุณโน็ตและเพื่อนๆอีกสี่คนก็ได้นั่งกันที่หลังห้อง ดึงเอาอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา มีกระดานผีถ้วยแก้ว ถ้วยแก้วเล็กๆหนึ่งใบ กระจกส่องหน้าประมาณห้านิ้ว กระถางธูปและธูปหนึ่งดอก
    มีเพื่อนคนนึงขอยืนดูอยู่เฉยๆ จึงมีคนเล่นทั้งหมดสี่คน หลังจากมานั่งล้อมวงกันหมดแล้ว เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า "จะเรียกเค้ายังไงดี" คุณโน็ตบอกว่า "ท่องนะโมพุทธายะย้อนหลังสามรอบ และอัญเชิญวิญญาณ"
    พอทุกคนท่องจบ รู้สึกว่ากระดานมันขยับเล็กน้อย ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก คุณโน๊ตพูดว่า "ถ้าท่านมาแล้วให้ไปที่คำว่าใช่ หรือไปที่รูปบ้านก็ได้" แต่แก้วก็ยังไม่ขยับไปไหน
    แต่อยู่ๆ ไม้กวาดหลังห้องที่อยู่ในช่องเก็บ เด้งตกลงพื้นเอง ทุกคนตกใจหันไปมองเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมันมาก แล้วหันไปสนใจผีถ้วยแก้วกันต่อ แต่ว่าเรียกเท่าไหร่ แก้วก็ยังไม่ยอมขยับ
    แต่คุณโน๊ตสังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อยๆก้มหน้าลงทีละนิด เหมือนพยายามสังเกตอะไรสักอย่างในกระจก ที่ตั้งอยู่ข้างๆกระดาน แล้วอยู่ๆเพื่อนผู้หญิงก็ลุกพรวด คว้ากระเป๋า เดินออกจากห้องทันที
    เพื่อนที่เหลือต่างนั่งมองหน้ากัน คุณโน๊ตคิดในใจว่าเพื่อนต้องเห็นอะไรแน่ๆ ทุกคนต่างระแวงกันไปต่างๆนาๆ จนดูท่าไม่ดี จึงย้ายกันไปนั่งเล่นที่หน้าห้อง เพราะจุดนั้นจะสว่างกว่าหลังห้อง

    จากนั้นก็เริ่มท่องใหม่กันตั้งแต่แรก แต่คราวนี้แก้วขยับเคลื่อนที่ โดยที่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีใครคนนึงแกล้งขยับมันหรือเปล่า ลักษณะแก้วจะวนเร็วมาก จนไปหยุดอยู่ที่อักษร "ร"
    คุณโน๊ตจึงถามว่า "ถ้ามาแล้วจริงๆ เพื่อนผมมันใส่กางเกงในสีอะไร" แต่รู้สึกเหมือนแก้วมันพยายามจะพลิก ทุกคนจึงช่วยกันกด ต่างก็ตั้งคำถามใส่กันว่าใครแกล้ง จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง กลิ้งเข้ามาทางหน้าต่างหลังห้อง "ตุ๊บ!!ตึกๆๆๆๆ"
    ทุกคนตกใจมาก รีบหันไปมองทางต้นเสียง สิ่งนั้นกลิ่นไปชนกับประตูหลังห้อง แล้วกลิ่งกลับมาหยุดอยู่ตรงช่วงกลางๆของหลังห้อง ลักษณะเป็นลูกกลมๆ เพื่อนก็พูดขึ้นมาว่า "ใครโยนลูกมะพร้าวเข้ามาวะ นี่มันชั้นสามนะ"
    ทุกคนยังคงจับตามองไปที่ลูกกลมๆนั่น แต่เหมือนว่ามันค่อยๆขยับหมุนอยู่กับที่ เหมือนมีคนไปจับมันหมุนเบาๆ คุณโน๊ตพยายามเพ่งมองไปที่สิ่งนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตปรุงแต่งหรือเปล่า แต่เห็นเหมือนเป็นจมูกคน
    คุณโน๊ตเริ่มใจสั่น ขอให้ตนเองมองผิด แล้วพยายามสั่งเกตให้ดีๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดขึ้นมาว่า "หัวคนนี่หว่า" ทุกคนรีบวิ่งกระเจิงออกห้องทันที แล้วต่างคนต่างวิ่งหนีกลับบ้าน

    เช้าวันต่อมา ทุกคนโดนครูเรียกเข้าไปทำโทษ สาเหตุที่ครูทราบเพราะว่าพวกคุณโน๊ตไม่ได้เก็บอุปกรณ์ต่างๆกลับมาด้วย หลังจากพักทานอาหารเที่ยง คุณโน๊ตก็ไปถามเพื่อนผู้หญิงที่กลับบ้านไปก่อน
    แต่เพื่อนก็ไม่ยอมพูดอะไร คุณโน๊ตจึงบอกว่า "แกบอกมาเหอะ เพราะเมื่อวานพวกเราก็เจอมาเหมือนกัน" เพื่อนผู้หญิงก็บอกว่า "ถ้าเราเล่าให้ฟัง เราจะเจออะไรมั้ย" ทุกคนมองหน้ากันแล้วตอบว่า "เราเล่าให้แกฟังแล้ว แกก็ต้องเล่าให้เราฟังบ้างดิ"

    เพื่อนก็เล่าว่า ตอนที่กำลังท่องอัญเชิญกันอยู่ ได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ เสียงคล้ายๆตุ๊กแกร้อง "แอ๊ะๆๆๆๆ" แต่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิง และได้เหลือบไปมองในกระจก เห็นมือหนึ่ง ลักษณะขาวซีดคล้ำๆ ห้อยลงมาแตะที่กลางถ้วยแก้ว
    จึงได้ก้มลงมองต่ำๆผ่านกระจก ปรากฏว่าเห็นเป็นศพผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดม่อฮ่อมสีครีมเปื้อนโคลน ขาทั้งคู่ชี้ตั้งไปบนเพดาน นิ้วมือแตะลงบนถ้วยแก้ว คล้ายๆท่าหกสูง ศพนั้นค่อยๆหันตัวมาทางเพื่อนผู้หญิง ใบหน้าสีขาวคล้ำ ตาเหลือกมองไปที่กระดาน จมูกแห้งๆ เห็นแค่สันจมูกเหมือนหัวกระโหลก ริมฝีปากสีดำ อ้าปากกว้างเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง
    คุณโน๊ตได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกจุกที่ท้อง จนต้องนั่งลงบนเก้าอี้ คิดว่าแบบนี้มันไม่ปกติแน่ ความกลัวและหวาดระแวงทำให้คุณโน๊ตอยู่นิ่งไม่ได้ หลังจากเลิกเรียน จึงได้ชวนเพื่อนทุกคนไปปรึกษาพระที่วัด

    ในขณะที่กำลังเดินออกจากโรงเรียน ภารโรงเดินมาพูดว่า "เป็นไงหละพวกเอ็ง ใครเค้าให้เล่นกันช่วงโพล้เพล้" คุณโน๊ตจึงถามกลับไปว่า "ทำไมอ่ะ" ภารโรงบอกว่า "พิธีกรรมที่ทำเฉพาะตอนเย็นก็คือการสวดศพ แล้วรู้หรือเปล่า ช่วงที่วิญญาณเค้ากำลังเดินทางอยู่ พวกเอ็งเรียกใคร ถ้าใครผ่านอยู่แถวนั้น เค้าก็มาหาพวกเอ็งกันหมด คำโบราณที่เค้าพูดกันว่าตะวันทับฟ้า คือเป็นช่วงเปิดกับปิด แล้วเอ็งรู้มั้ย ทุกวันนี้เค้าตามพวกเอ็งอยู่ เพราะพวกเอ็งไม่ได้เชิญเค้าออก แล้วเค้าจะไปไหนได้"
    คุณโน๊ตใจหายแวบ รู้สึกขนลุกตั้งทั้งตัว ภารโรงพูดต่อว่า "รู้มั้ย ตอนเที่ยงที่พวกเอ็งนั่งกินข้าวกันอยู่ ข้าเห็นเค้านั่งแย่งข้าวพวกเอ็งกินอยู่บนโต๊ะ รีบไปหาหลวงตาซะ ให้ท่านช่วยก่อนที่จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น"


    คุณโน๊ตและเพื่อนๆจึงเดินน้ำตาไหลไปหาหลวงตาที่วัด พอไปเจอหลวงตาที่วัด ท่านก็พูดว่า "เอ็งอย่าพึ่งเข้ามา รอข้างนอกก่อน" คุณโน๊ตกับเพื่อนๆก็งง จึงถามหลวงตาว่า "รออะไรครับหลวงตา"
    ท่านบอกว่า "ข้าไม่ได้หมายถึงพวกเอ็ง ข้าหมายถึงผู้หญิงที่เดินตามพวกเอ็งมา" คุณโน็ตรู้สึกเสียวสันหลังวาบ หันไปมองข้างหลัง แต่ก็เจอแค่ความว่างเปล่า หลวงตาท่านก็ถามว่า "ไปทำอะไรกันมา"
    คุณโน๊ตจึงเล่าเหตุการณ์ให้หลวงาฟัง ท่านบอกว่า "ตอนนี้ไม่ทัน เดี๋ยวข้าจะผูกสายสินญ์ข้อมือให้ แล้วพวกเอ็งก็กลับไปนอนกันก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมาใหม่ จะทำบังสุกุลให้"
    หลังจากที่คุณโน๊ตและเพื่อนๆเข้าพิธีบังสุกุลแล้ว ก็กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ส่วนผีผู้หญิง หลวงตาท่านก็ได้สวดส่งวิญญาณให้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณโน๊ต The Shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - สยองขวัญหลังเที่ยงคืน



สยองขวัญหลังเที่ยงคืน

      เหตุการณ์เกิดขึ้นที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง แถวถนนเพชรบุรี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณบอยเปิดบริษัทเล็กๆกับเพื่อน เกี่ยวกับกำจัดแมลง และได้คอนแทรคกับสถานอาบอบนวดที่หนึ่ง ให้เข้าไปทำการดูแลความสะอาดและพวกแมลง โดยมีสัญญาหนึ่งปี
    ที่แห่งนี้จะมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งยังเปิดทำการปกติ แต่ชั้นสองและชั้นสามกำลังรีโนเวทใหม่อยู่ ทางสถานอาบอบนวดนัดให้คุณบอยกับเพื่อนเข้าไปทำตอนตีหนึ่ง เพราะต้องรอให้คนออกจากสถานที่ให้หมดก่อน

    หลังจากที่คุณบอยเดินทางไปถึง พบกับยามและสุนัขหนึ่งตัว นั่งเฝ้าอยู่หน้าตึก ยามบอกกับคุณบอยว่า "มากันแล้วใช่มั้ยน้อง เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้ แล้งน้องขึ้นไปกันเองนะ" คุณบอยก็ตอบกลับว่า "อ่าวพี่ ผมเพิ่งมาครั้งแรก ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าต้องไปเปิดไฟตรงไหน"
    ยามหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง วาดแผนพังแบบสังเขป พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า "นี่ชั้นสองนะ พอขึ้นไปจะมีทางเดินซ้ายขวา ตรงกลางมันจะมีพวกแผงสวิทช์ต่างๆอยู่ ส่วนชั้นสาม ถ้าขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอห้องน้ำ ตรงกลางจะมีพวกแผงสวิทช์ไฟอยู่เหมือนกัน แต่สวิทช์ไฟที่ชั้นสามยังใช้ไม่ได้ ต้องไปกดที่ชั้นสองเท่านั้น"
    คุณบอยและเพื่อนไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เจ้าบ้านจะให้เข้าไปจัดการกันเอง จึงถือแผนที่แล้วเดินไปตามทางที่ยามบอกไว้ ชั้นหนึ่งจะปิดไฟทั้งหมด ทางเจ้าของสถานที่เค้าห้ามเปิดไฟ
    คุณบอยจึงเอาไฟฉายขึ้นมาส่องไปตามมุมต่างๆ แล้วยกกระป๋องฉีดยา เดินฉีดไปเรื่อยๆ โดยแยกทำกับเพื่อน สถานที่แห่งนี้ค่อยข้างใหญ่พอสมควร การที่คุณบอยต้องมาเดินอยู่ในความมืดเพียงลำพัง มีแค่เสียงรองเท้าที่ดังก้องไปมาในโถงทางเดินใหญ่ๆทึบๆ ทำให้รู้สึกหวาดระแวงพอสมควร จนต้องหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง เพื่อกลบความกลัว

    เมื่อเสร็จจากชั้นหนึ่ง จึงเดินกลับมารอเพื่อนที่ห้องโถงใหญ่ สักพักเพื่อนก็เดินเข้ามาหา คุณบอยตกลงกับเพื่อนว่า "เดี๋ยวเราขึ้นไปฉีดที่ชั้นสามก่อน แล้วค่อยลงมาฉีดที่ชั้นสอง เสร็จแล้วกลับเลย" เพื่อนเห็นดีด้วย จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง
    ทางเจ้าของสถานที่อนุญาตให้เปิดไฟที่ชั้นสองและสามได้ คุณบอยจึงสับสวิทช์ไฟที่ชั้นสองขึ้นแบบมั่วๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคือจุดไหนบ้าง แสงสว่างไล่ความมืดและความกลัวได้ดีพอสมควร
    เมื่อคุณบอยชะเง้อขึ้นไปมองที่ชั้นสาม พบว่ามีแสงสว่างจากหลอดนีออนแล้ว จึงพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม ในขณะที่กำลังเดินขึ้น คุณบอยได้ยินเสียงน้ำไหล แต่ไม่ได้ไหลแรงมากนัก ลักษณะเหมือนเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ คุณบอยจำได้ว่า ทางซ้ายมือเป็นห้องน้ำ จึงไม่แปลกใจนักที่จะมีเสียงน้ำไหล

    ชั้นสามจะดูแคบกว่าชั้นอื่นๆ ไฟติดแต่ตรงทางเดินหน้าบันใด ทางซ้ายและขวามือจะเป็นทางเดินยาวๆมืดๆ มีข้าวของและเศษก้อนปูนวางระเกะระกะ ตามฝาผนังยังคงทาสีไม่เสร็จดี

    คุณบอยหยุดอยู่แถวๆทางเดินหน้าบันได คุยกับเพื่อนว่า "น้ำมันไหลอยู่ได้ยังไง นี่มันตีหนึ่งแล้วนะ" ถึงแม้ว่าคุณบอยและเพื่อน จะเคยทำงานในเวลากลางดึกแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป คุณบอยรู้สึกอึดอัดและไม่ค่อยดีกับสถานที่แห่งนี้มาก
    จึงบอกกับเพื่อนว่า "เดี๋ยวเรารีบๆทำงานให้เรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันกลับดีกว่า" จุดแรกที่จะเข้าไปฉีดคือห้องน้ำ คุณบอยเดินตรงไปที่ทางเดินด้านซ้าย ห้องน้ำจะอยู่ห้องแรกซ้ายมือ

    เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งทำให้ได้ยิงเสียงน้ำไหลชัดเจน คุณบอยพยายามหมุนลูกบิดประตู แต่มันกลับถูกล็อกจากด้านใน จึงหันไปคุยกับเพื่อนว่า "หรือว่าจะมีคนอยู่ข้างใน" แต่เพื่อนก็พูดเสริมขึ้นมาว่า "หรือเค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำมันไหลนานแล้วนะ"
    จึงช่วยกันเคาะประตู "มีคนอยู่ข้างในมั้ยครับ มีมั้ยครับ" ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา นอกจากเสียงน้ำไหล คุณบอยดูท่าไม่ดี  คิดว่าจะเดินลงไปเรียกยามขึ้นมา จังหวะที่หันหลังจะเดินลงบันได ปรากฏว่าได้ยินเสียงปลดล็อคดัง "แกร่ก!!"
    คุณบอยและเพื่อนสะดุ้ง รีบหันกลับไปมอง เห็นประตูมันค่อยๆแง้มเปิดออกทีละนิด ทำให้คุณบอยและเพื่อนยืนอึ้งอยู่กับที่ แต่พยายามคิดปลอบใจตัวเองว่า มันคงไม่มีอะไรหรอก จึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วดันประตูเข้าไป
    เป็นห้องมืดๆที่แทบจะมองอะไรไม่เห็น มีกลิ่นสาบของอะไรบางอย่างจางๆ คุณบอยใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดู ทำให้รู้ว่ามันคือห้องน้ำที่ถูกทุบทั้งหมด ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่า คุณบอยขนลุกวาบ แล้วเสียงน้ำไหลที่ได้ยินมันคือเสียงของอะไรกันแน่
    เพื่อนพูดขึ้นมาทันทีว่า "ท่าไม่ดีแล้วแฮะ เอางี้มั้ย เราลงไปข้างล่าง แล้วไปปรึกษายามดู" คุยบอยและเพื่อนเดินถอยออกมาจากห้องน้ำ แล้วตรงไปที่บันได แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือก รีบกระโดดกลับหลังทันที เพราะประตูห้องน้ำมันดีดปิดเองดัง "ปั้ง!!"
    แล้วเสียงน้ำไหลมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดังก้องไปทั้งชั้น พร้อมกับกลิ่นคาวของอะไรบางอย่าง ลอยอบอวลอยู่ทั่วบริเวณ ในจังหวะที่คุณบอยและเพื่อนยืนตัวสั่นมองหน้ากันอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียงผู้หญิงครวญครางดังอยู่ไกลๆ "อื้ออออื่ออออื้อออ"
    เป็นเสียงที่ผิดมนุษย์มนามาก ดังมาจากความมืดปลายทางเดินด้านซ้าย คุณบอยและเพื่อนค่อยๆฉายไฟไปทางต้นเสียงด้วยใจระทึก แสงไปกระทบเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้า ใส่ชุดคลุมท้อง เนื้อตัวมีแต่ลอยเลือด เหมือนเอามือที่เปื้อนเลือดจับไปตามร่างกาย ยืนกางแขนกางขาเล็กน้อย มีเลือดสีแดงเข้ม ไหลออกมาจากหว่างขา

    ภาพที่เห็นมันตอบโจทน์ได้ทันทีว่า เสียงน้ำไหลมันคืออะไร มีเสียงครวญครางดังอยู่ตลอดเวลา "อื้อออ..อื้ออออออ" คุณบอยกับเพื่อนยืนขาตาย ทำอะไรไม่ถูก ความกลัววิ่งแล่นไปทั่วร่างกาย รู้สึกหน้ามืดอยากอาเจียน เพราะกลิ่นเหม็นคาวมันรุนแรงขึ้นทุกที
    ผู้หญิงคนนั้นยืนครางในลำคอเหมือนคนเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วอยู่ๆก็วิ่งกระเสือกกระสนเข้ามาหาคุณบอยและเพื่อน ครางเสียงสั่นๆในลำคออยู่ตลอดเวลา "อื้ออื้อออื้อออื้ออ" คุณบอยและเพื่อนตกใจสุดขีด โยนถังฉีดแมลงในมือทิ้ง วิ่งกระเจิงลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ร้องตะโกนโวยวาย "ผี ผีหลอกกกก ผีหลอกโว้ยยยย"
    ปรากฏว่ายามกับสุนัขที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู วิ่งหนีออกไปนอกถนน คุณบอยได้ยินเสียงเพื่อนจะโกนบอกว่า "ขึ้นรถ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน" จึงขึ้นรถกับเพื่อนคนละคัน แล้วเหยียบออกไปจากที่นี่ทันที

    รุ่งเช้า เพื่อนโทรมาบอกว่า ลูกค้าเรียกไปให้หา เมื่อคุณบอยและเพื่อนเดินทางไปถึง เจ้าของสถานที่ก็ยิงคำถามมาทันที ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทิ้งอุปกรณไว้แกะกะแบบนี้ แต่คุณบอยกับเพื่อนไม่สามารถเล่าเรื่องที่เจอมาให้ลูกค้าฟังได้ เพราะจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือ
    จึงตอบแค่ว่า "ผมดูสถานที่แล้วมันไม่สดวกที่จะทำงานครับ งั้นผมขอยกเลิกสัญญาเลยก็ได้ แล้วจะคืนเงินให้ครับ" คุณบอยจึงขึ้นไปเก็บอุปกรณ์ข้างบน มีคนงานก่อสร้างกำลังทำงานกันอยู่หลานคน
    คุณบอยเจอเข้ากับหัวหน้าคนงานที่ชั้นสาม หัวหน้าคนงานเดินมาบอกว่า "พี่ ผมเก็บไว้ให้ละ สองถัง ของพี่ใช่มั้ยครับ" คุณบอยตอบว่า "ใช่ครับ" แล้วรับถังฉีดแมลงมา คุณบอยมองไปตามทางเดินทางซ้าย ภาพที่เห็นเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว
    ด้วยความสงสัย จึงลองเดินไปสุดทางเดิน ตรงที่ผู้หญิงคนเมื่อคืนยืนอยู่ พบว่าด้านขวามือ เป็นห้องสำหรับตรวจภายใน ห้องไม่ค่อยกว้างมากนัก มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเตียงนอน โคมไฟบนหัวแบบห้องผ่าตัด เครื่องมือสแตนเลสต่างๆ รวมไปถึงเชือกสลิง ของทุกอย่างมีสภาพค่อนข้างเก่า เหมือนผ่านการใช้มาแล้วนับไม่ถ้วน
    คุณบอยรู้สึกไม่ดีกับห้องนี้มาก เหมือนกับว่าห้องนี้มันเก็บความเจ็มปวดของใครหลายๆคนเอาไว้อยู่เต็มไปหมด จนชวนให้รู้สึกหดหู่ใจ จนคุณบอยต้องรีบเบือนหน้าหนี แล้วรีบเดินลงมาจากตึก แยกย้ายกันไปทำที่อื่นต่อ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณบอย The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก TheghostradioOfficial

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | คืนงัดโลง



คืนงัดโลง

      เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา หลังจากที่คุณชุงเรียนจบ ป.6 คุณพ่อได้ให้คุณชุงไปบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ้าน คุณชุงบวชอยู่ที่นี่ประมาณห้าปี จึงได้สึกออกมา

    ช่วงนั้นที่วัดกำลังเตรียมจัดงานเทศกาลใหญ่ คุณชุงก็ได้ไปช่วยเณรเตรียมงานต่างๆภายในวัด โดยหลวงพ่อให้เอาผ้าสี ไปขึงไว้แถวๆเมรุเผาศพ หลังจากขึงผ้าเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ก็ได้พากันเดินไปเล่นแถวๆโกดังเก็บศพ
    แถวๆบริเวณโกดังเก็บศพ จะเป็นที่เล่นประจำของคุณชุงและเพื่อนๆสามเณร ช่วงหลังๆมีการปลูกสร้างคอนโดขึ้นที่ข้างๆวัด ทางวัดจึงทยอยเอาศพออกจากโกดัง จนเหลืออยู่ศพหนึ่ง ซึ่งคุณชุงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกย้ายออกไปที่อื่น
    ตอนนั้นคุณชุงและสามเณรอีกสองรูป เกิดคิดพิเรนกันขึ้น พยายามจะงัดโลงออกมาดู เพราะอยากรู้ว่าจะมีศพอยู่ข้างในหรือเปล่า จึงได้ไปดึงราวตากผ้าที่หลังกุฏิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการงัด


    พอเปิดประตูช่องเก็บศพ คุณชุงก็ใช้ราวตากผ้าที่เป็นท่อนเหล็ก งัดฝาโลงขึ้น งัดไปงัดมา ฝาโลงเกิดแตกจนมันเปิดอ้าออก แต่ก็เปิดขึ้นได้แค่ประมาณคืบเดียว เพราะจะติดเพดานช่องเก็บศพ
    คุณชุงมองเข้าไปในโลง แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่ความมืด ประกอบกับช่วงนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มที เพื่อนเณรยื่นไฟแช็คให้ แล้วบอกให้คุณชุงใช้จุดส่องดู คุณชุงก็รับไฟแช็คมา แล้วยื่นมือเข้าไปในโลงศพ แล้วจุดไฟแช็ค
    ภาพที่เห็นทำให้คุณชุงร้องอุทาน พร้อมกับชักมือกลับออกมาทันที สิ่งที่เห็นคือซากศพแห้งๆ ที่นอนพนมมืออยู่ในโลง ด้วยความตกใจ คุณชุงรีบวิ่งกลับไปที่ศาลาการเปรียญ โดยมีเพื่อนเณรทั้งสองรูป วิ่งตามหลังมาติดๆ

    เวลาย่างเข้าหนึ่งทุ่ม คุณชุงเดินกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อได้ไปช่วยงานที่วัดจนดึก ที่บ้านจะเหลือเพียงแค่น้าชายคนเดียว คุณชุงเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลากี่โมง ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ" อยู่แถวๆปลายเตียง
    คุณชุงพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะว่าลืมตาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กดทับที่เปลือกตาไว้ เสียงปริศนามันเริ่มขยับมาดังอยู่ตรงข้างๆเตียง จนคุณชุนต้องใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออก เพื่อจะดูว่ามันคืออะไรกันแน่
    ภาพที่คุณชุงเห็นก็คือ ซาพศพแห้งๆ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ลักษณะพนมมือมัดตราสัง โน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวเดินเหมือนคนที่กำลังอิดโรย คุณชุงตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนลั่นเหมือนคนสติแตก แต่เสียงกลับอยู่แค่ในลำคอ

    สิ่งนั้นเดินวนไปมารอบๆห้องอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าสนใจคุณชุงเลย คุณชุงนอนมองอยู่นานพอ จนสามารถเห็นทุกส่วนของศพได้ชัดเจน ลูกกะตาลึกโบ๋  จมูกเห็นเป็นเพียงแค่สันบางๆ ไม่มีริมฝีปาก จึงทำให้เห็นฟังสีเหลือง ที่เรียงซี่กันอย่างสวยงาม
    ช่วงลำตัวเห็นเป็นซากหนังแห้งๆสีเทา หุ้มโครงกระดูกกะหร่อง เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับว่าพร้อมที่จะล้มกองลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ คุณชุนทนมองภาพอันน่าขนลุกต่อไปไม่ไหว รวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ตะโกนเรียกน้าชายลั่นห้อง จนเสียงสามารถหลุดออกมาจากลำคอได้
    ไม่กี่อึดใจต่อมา น้าชายก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่ร่างอันน่าขนลุกนั่นค่อยๆหายไป คุณชุงลุกพรวดขึ้นจากเตียง บอกกับน้าชายว่า โดนผีหลอก และขอให้น้าชายอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า

    วันต่อมา คุณชุงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จึงรีบไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด และไปเจอเข้ากับเพื่อนเณรก่อน เพื่อนเณรก็บอกว่าเจอเหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนที่กำลังเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัน
    เห็นศพแห้งๆที่อยู่ในโกงดัง ยืนขย่มอยู่บนต้นโพธิ์ข้างห้องน้ำ แล้วค่อยๆใต้ลงมาจากต้นโพธิ์ เพื่อนเณรจึงรีบวิ่งกลับเข้ากุฏิ ส่วนเพื่อนเณรอีกคนนอนจับไข้อยู่ในกุฏิ คุณชุงก็ได้เข้าไปหา
    เพื่อนเณรจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่กำลังจะนอน ได้ยินเสียงคนเคาะที่หน้าต่างกุฏิ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ปรากฏว่าเห็นศพแห้งๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่หัวเป็นสุนัขดำ มีน้ำลายเหนียวๆ ยืดออกมาจากปาก
    เมื่อหลวงพ่อทราบเรื่อง จึงได้ให้จัดเครื่องเซ่นคาวหวาน ไปขอขมาที่หน้าโกดังเก็บศพ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณซุง The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก แดนสนธยา

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - ลุงสมบัติ




ลุงสมบัติ

        ตอนนั้นคุณอาร์มกลับจากกรุงเทพกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วก็มีอาการป่วยขึ้นมาก คุณอาร์มก็นอนพักอยู่ที่บ้าน 2-3 วันแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนต้องไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ พี่ชายของคุณอาร์มทำงานเป็นบุรุษพยาบาลอยู่ที่นี่ด้วย พอไปตรวจอาการกับหมอก็ปรากฎว่าเป็นไข้เลือดออก คุณอาร์มก็ต้องนอนที่โรงพยาบาล ห้องที่คุณอาร์มนั้นพักจะเป็นห้องรวม ในวันสองวันแรกนั้นคุณอาร์มนั้นป่วยหนัก และไม่รู้สึกตัว จนถึงวันที่ 3 คุณอาร์มก็รู้สึกตัวและมีอาการดีขึ้น คุณอาร์มก็ลุกขึ้นนั่ง เพราะนอนมาตั้งแต่วันแรก พอลุกขึ้นนั่งก็มองไปรอบๆห้องพักรวม เตียงที่คุณอาร์มอยู่นั้นจะเป็นเตียงที่ 2 ด้านซ๊ายมือจะเป็นเตียงที่ 1 ซึ่งมีคนลุงท่านนึงนอนพักอยู่ ถัดมาเตียง 2 เป็นเตียงคุณอาร์มถัดไปขวามือ ก็เป็นเตียง 3 ก็มีลุงท่านนึงนอนอยู่ และอีกเตียงนึง คือเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับคุณอาร์ม ที่นอนเอาเท้าชนกัน ทั้งหมดในห้องรวมนั้น มีคนพักอยู่ 4 เตียงจาก 10 กว่าเตียง ลุงที่อยู่ซ๊ายมืออาการไม่หนัก ลุงที่อยู่ขวามือแกป่วย แต่ลุงที่อยู่ตรงข้ามเหมือนจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงพอสมควร อาการถือว่าหนักเลยทีเดียว
ตัวคุณอาร์มนั้นต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว เพราะว่า พี่ชายต้องกลับไปบ้านแฟนที่ราชบุรี เพราะว่าแม่ยายเสีย และในคืนที่คุณอาร์มรู้สึกตัวนั้นคุณอาร์มก็มองซ๊ายมองขวา มองไปเรื่อยๆ ก็เห็นลุงที่อยู่ซ๊ายมือนอนพลิกไปพลิกมาจนแกหันหน้ามาเจอกับคุณอาร์มแล้วก็ยิ้มให้ แล้วก็ทักคุณอาร์มว่า ไอหนุ่ม ได้ข่าวว่า เป็นไข้เลือดออกไม่ใช่หรือ คุณอาร์มก็บอกว่าใช่ครับ ผมเป็นไข้เลือดออกครับ ลุงแกก็ถามต่อว่า แล้วญาติพี่น้องไม่มีเหรอลูก คุณอาร์มก็ตอบว่า ผมมีพี่ชายเป็นบุรุษพยาบาล แต่ว่าเขาไปธุระ ลุงแกก็พูดต่ออีกว่า ดีแล้วหละลูก ดีนะที่มาโรงพยาบาลไว ไข้เลือดออกมันอันตราย พอออกจากโรงพยาบาลก็ทำบุญซะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ตอนนั้นคุณอาร์มก็สบายใจละ ได้เพื่อนคุย คุณอาร์มก็ถามลุงว่า แล้วลุเป็นไรมา ญาติพี่น้องลุงไม่มาหรอ ลุงก็ตอบว่า ลุงอยู่นี่หลายวันแล้ว แต่ว่ารอดมาได้ ไม่ตายก็บุญโขแล้ว ส่วนญาติพี่น้องเขามาแล้วก็กลับไปแล้ว ระหว่างที่คุยๆอยู่คุณอาร์มก็หันหน้ามองไปทางขวา ก็เห็นลุงเตียง 3 มองจ้องหน้าคุณอาร์มเขม็งเลย คุณอาร์มก็ตกใจ หันไปทีไร ก็เจอลุงเตียง 3 จ้องหน้าอยู่ตลอด จนคุณอาร์มไม่ไหว ก็เลยหันกลับไปถามลุงที่อยู่เตียงด้านซ๊ายว่า ทำไมลุงที่อยู่เตียงขวาถึงจ้องหน้าผมแบบนั้น ลุงแกก็ตอบปนตลกๆว่า ไอหนุ่มหน้าตาดี สงสัยแกจะชอบแหละ ทั้งลุงและคุณอาร์มก็หัวเราะกันไป สรุปคืนนั้นก็นนอนๆหลับไป

แต่พอเที่ยงคืน คุณอาร์มได้ยืนเสียงๆนึง เป็นเสียงกระแอม ประมาณว่า ฮื่มๆ ไอบัติ คุณอาร์มก็มองว่าเป็นเสียงใคร พอมองไปมองมาก็เห็นเป็นลุงที่อยู่ปลายเตียง เพ้อ คำว่า ไอบัติๆ คุณอาร์มก็เลยมองหาตัวช่วย หันไปหาลุงที่อยู่ซ๊ายมือก็เห็นว่าแกมองลุงปลายเตียงอยู่ แล้วก็หันมาสบตาแบบประมาณว่า มันเป็นอะไรของมัน สักพักญาติของลุงปลายเตียงที่อยู่ข้างนอกก็เดินเข้ามาเอาผ้าห่มคลุมให้แล้วพูดว่า พ่อ นอนไปๆ และในคืนนั้นด้วยฤทธิ์ยาคุณอาร์มก็หลับไป

ตื่นเช้ามาหมอและพยาบาล ก็เข้ามาเจาะเลือด ตรวจเกล็ดเลือดเหมือนเดิม หลังจากตรวจเสร็จ คุณอาร์มก็มองไปทางซ๊ายที ขวาที ทางซ๊ายก็เห็นลุงแกนอนพลิกไปพลิกมา ส่วนทางด้านขวานั้นปิดม่านไว้ จนถึงตอนกลางคืน คุณอาร์มก็กำลังเคลิ้มๆจะหลับ คุณอาร์มก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมว่า ไอบัติๆ อยู่ไหนวะเนี่ย ตอนนั้นคุณอาร์มรวมถึงทุกๆคนก็ต้องคิดว่า ไม่อยากให้มีใครมาเสียชีวิตในห้องผู้ป่วยรวม ถ้ามีใครตายไปมันจะอยู่กันไม่ได้ ตอนนั้นคุณอาร์มก็ต้องหาตัวช่วยไปที่ลุงที่อยู่ซ๊ายมือ คุณอาร์มก็หันไปคุยกะแก แกก็บอกว่า ไอหนุ่มดูดิ เหมือนอาการจะหนักนะ ไอหนุ่มเอ้ย เองดูภาพไว้แล้วจำไว้เลยว่า คนเราจะตายเมื่อไรก็ได้นะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วเองก็ทำบุญทำทานไว้เยอะๆ คนเรานี่ปุปปับตายกันได้เลย คุณอาร์มก็คุยปรับทุกข์กับลุงไป พอหันไปทางขวาก็เจอลุงคนนั้น นอนจ้องมาที่คุณอาร์ม เหมือนเดิม คืนนั้นคุณอาร์มก็พยายามนอนข่มตาหลับไป

เช้าวันต่อมา พี่ชายของคุณอาร์มก็กลับมาพอดีๆ ก็แวะมาเยี่ยม ก็ถามคุณอาร์มว่า เป็นไงบ้าง ค่อยยังชั่วยัง คุณอาร์มก็บอกว่า ดีขึ้นแล้ว ก็คุยกันไปซักพัก พี่ชายก็ถามว่า อาร์มไม่เหงาหรอ คุณอาร์มก็ตอบกลับไปว่า เหงาสิพี่ แต่อย่างน้อย ก็หันไปคุยกะลุงที่นอนอยู่เตียง 1 บ้าง พี่ชาย ก็บอกว่า โอเคๆ ยังดี ที่มีเพื่อนคุย เอางี้ ถ้าจะออกก็โทรไปหาพี่ละกัน เดี๋ยวพี่มารับ แล้วคุณอาร์มก็ต้องอยู่ที่นี่อีก 2 คน และก็ได้ยินเหมือนเดิมกับลุงปลายเตียงที่เพ้อคำว่า ไอบัติๆ และลุงที่อยู่ขวามือที่ชอบนอนจ้องหน้าคุณอาร์ม ตอนนั้นคุณอาร์มไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ก็พยายามรักษาตัวให้ไข้ลด กินยาตามที่หมอสั่ง เพื่อที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลให้ไวที่สุด จนมาถึงคืนสุดท้าย นี่หนักเลย ลุงที่อยู่ปลายเตียงก็เพ้อเยอะกว่าเดิมพูดคำว่า เอ้ย ไอบัติ เห็นไอบัติมายืนอยู่ ไอบัติมาแล้ว กูเห็นยืนอยู่ พอหันไปทางขวามือก็เห็นลุงคนเดิมมองจ้องหน้า แต่ก็ยังโชคดีตรงที่ว่า ญาติของลุงปลายเตียงเข้ามาแล้วก็ไปตามหมอมา พอญาติพาหมอมา คุณอาร์มก็ได้มีโอกาสแอบฟังเขาคุยกันว่า อะไรคือไอบัติ

สรุปแล้วเรื่องราวคืน ก่อนที่ลุงแกจะเข้าโรงพยาบาลนั้น ลุงแกกับเพื่อนแกที่ชื่อ ลุงสมบัติ ไปเที่ยงงานโบราณที่จังหวัดเพชรบุรี และที่งานนั้นก็มีแข่งวัวลาน แล้ววันนั้นวัวที่มาแข่งวิ่งวัวลานนั้นหลุดออกไป แล้ว ลุงแกกับลุงสมบัติขับรถมอเตอร์ไซด์มาพอดี ทำให้วัวตัวนั้นมาชนกับรถมอเตอร์ไซด์ที่ลุงและลุงสมบัติขี่มา คนขับอาการโคม่า ส่วนลุงสมบัตินั้นเสียชีวิต
และเช้าวันถัดมา หมอก็อนุญาตให้คุณอาร์มกลับบ้านได้ คุณอาร์มก็เลยโทรไปหาพี่ชาย ให้พี่ชายมาเซ็นรับ และรอรับยา ระหว่างที่คุณอาร์มนั่งรอรับยานั้น ก็ได้ยินเสียงญาติๆของลุงที่อยู่ปลายเตียง นั้นวุ่นวายมาก และพูดตลอดว่าพยาบาลช่วยด้วย หมอช่วยด้วย คุณอาร์มก็เลยเรียนพี่ชายที่เป็นบุรุษพยาบาลไปช่วยดู พี่ชายคุณอาร์มก็หายไปประมาณซัก 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาบอกคุณอาร์มว่า ลุงที่อยู่ปลายเตียงแกเสียแล้วหวะ แต่ก็ยังโชคดีนะ แกเสียวันที่ออกพอดี ถ้าอยู่ต่อนี่แย่เลยนะ หลังจากรับยาเสร็จคุณอาร์มและพี่ชายก็กำลังจะกลับบ้าน ก่อนกลับคุณอาร์มและพี่ชายก็แวะกินข้าแถวๆหน้าประตูโรงพยาบาล ระหว่างที่นั่งกินข้าวกัน อยู่ดีๆ พี่ชายก็ถามว่า อาร์ม ถามจริงๆ ตอนอยู่โรงพยาบาลไม่เหงาหรอ คุณอาร์มก็ตอบว่า ก็เหงา แต่ก็มีลุงที่อยู่เตียง 1 คุยเป็นเพื่อนเนี่ยแหละ พี่ชายก็พูดต่อว่า เออ ก็ดีละ ไหนๆก็ไหนๆละ รู้มั๊ยว่า ลุงที่อยู่เตียง 1 หนะ แกชื่อลุงสมบัติ พอคุณอาร์มได้ยินก็เลิกกินข้าวทันทีและก็ออกไปรอหน้าโรงพยาบาลทันที

พี่ชายคุณอาร์มก็เล่าต่ออีกว่า ลุงสมบัติแกมาพร้อมกับลุงที่นอนอยู่ปลายเตียงเลย แต่ว่าลุงสมบัติตายในคืนนั้นเลยที่เตียง 1 คุณอาร์มก็สังเกตว่าวันที่คุณอาร์มออกจากโรงพยาบาลก็ไม่เห็นลุงที่อยู่เตียง 1 แล้ว แต่คุณอาร์มก็ยังไม่แน่ใจก็ถามกลับไปว่า มันไม่จริงหรอกมั๊ง พี่ชายก็บอกว่า มันจะไม่จริงได้ยังไง ก็วันที่ลุงสมบัติเข้ามา กูเนี่ยแหละเป็นคนรับเคสนี้เอง แล้วแกก็ตายที่เตียง 1 เลย และวันที่กูมาเยี่ยมเห็นอยู่เตียง 2 กูก็ตกใจแล้ว กูก็อยากจะบอกนะ แต่ก็กลัวว่าจะกลัว แล้วพอบอกอีกว่าคุยกับลุงเตียง 1 ถ้าถามว่ารักน้องมั๊ย ก็รักนะ แต่กูก็รักตัวกูเองก่อน แล้วพี่ชายคุณอาร์มก็ไปเลย ปล่อยให้คุณอาร์มอยู่กับลุงที่อยู่เตียง 1 ตั้ง 2-3 คืน ส่วนลุงที่อยู่เตียงขวาที่จ้องหน้าคุณอาร์มนั้น ก็คงสงสัยว่าคุณอาร์มกำลังคุยอยู่กะใคร และลุงที่นอนอยู่ปลายเตียงนั้นชื่อว่าลุงสมหวังเป็นเพื่อนกับลุงสมบัติ









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL



เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน

หญิงสาว เที่ยงคืน เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ท...