วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | คืนงัดโลง



คืนงัดโลง

      เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา หลังจากที่คุณชุงเรียนจบ ป.6 คุณพ่อได้ให้คุณชุงไปบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ้าน คุณชุงบวชอยู่ที่นี่ประมาณห้าปี จึงได้สึกออกมา

    ช่วงนั้นที่วัดกำลังเตรียมจัดงานเทศกาลใหญ่ คุณชุงก็ได้ไปช่วยเณรเตรียมงานต่างๆภายในวัด โดยหลวงพ่อให้เอาผ้าสี ไปขึงไว้แถวๆเมรุเผาศพ หลังจากขึงผ้าเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ก็ได้พากันเดินไปเล่นแถวๆโกดังเก็บศพ
    แถวๆบริเวณโกดังเก็บศพ จะเป็นที่เล่นประจำของคุณชุงและเพื่อนๆสามเณร ช่วงหลังๆมีการปลูกสร้างคอนโดขึ้นที่ข้างๆวัด ทางวัดจึงทยอยเอาศพออกจากโกดัง จนเหลืออยู่ศพหนึ่ง ซึ่งคุณชุงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกย้ายออกไปที่อื่น
    ตอนนั้นคุณชุงและสามเณรอีกสองรูป เกิดคิดพิเรนกันขึ้น พยายามจะงัดโลงออกมาดู เพราะอยากรู้ว่าจะมีศพอยู่ข้างในหรือเปล่า จึงได้ไปดึงราวตากผ้าที่หลังกุฏิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการงัด


    พอเปิดประตูช่องเก็บศพ คุณชุงก็ใช้ราวตากผ้าที่เป็นท่อนเหล็ก งัดฝาโลงขึ้น งัดไปงัดมา ฝาโลงเกิดแตกจนมันเปิดอ้าออก แต่ก็เปิดขึ้นได้แค่ประมาณคืบเดียว เพราะจะติดเพดานช่องเก็บศพ
    คุณชุงมองเข้าไปในโลง แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่ความมืด ประกอบกับช่วงนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มที เพื่อนเณรยื่นไฟแช็คให้ แล้วบอกให้คุณชุงใช้จุดส่องดู คุณชุงก็รับไฟแช็คมา แล้วยื่นมือเข้าไปในโลงศพ แล้วจุดไฟแช็ค
    ภาพที่เห็นทำให้คุณชุงร้องอุทาน พร้อมกับชักมือกลับออกมาทันที สิ่งที่เห็นคือซากศพแห้งๆ ที่นอนพนมมืออยู่ในโลง ด้วยความตกใจ คุณชุงรีบวิ่งกลับไปที่ศาลาการเปรียญ โดยมีเพื่อนเณรทั้งสองรูป วิ่งตามหลังมาติดๆ

    เวลาย่างเข้าหนึ่งทุ่ม คุณชุงเดินกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อได้ไปช่วยงานที่วัดจนดึก ที่บ้านจะเหลือเพียงแค่น้าชายคนเดียว คุณชุงเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลากี่โมง ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ" อยู่แถวๆปลายเตียง
    คุณชุงพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะว่าลืมตาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กดทับที่เปลือกตาไว้ เสียงปริศนามันเริ่มขยับมาดังอยู่ตรงข้างๆเตียง จนคุณชุนต้องใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออก เพื่อจะดูว่ามันคืออะไรกันแน่
    ภาพที่คุณชุงเห็นก็คือ ซาพศพแห้งๆ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ลักษณะพนมมือมัดตราสัง โน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวเดินเหมือนคนที่กำลังอิดโรย คุณชุงตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนลั่นเหมือนคนสติแตก แต่เสียงกลับอยู่แค่ในลำคอ

    สิ่งนั้นเดินวนไปมารอบๆห้องอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าสนใจคุณชุงเลย คุณชุงนอนมองอยู่นานพอ จนสามารถเห็นทุกส่วนของศพได้ชัดเจน ลูกกะตาลึกโบ๋  จมูกเห็นเป็นเพียงแค่สันบางๆ ไม่มีริมฝีปาก จึงทำให้เห็นฟังสีเหลือง ที่เรียงซี่กันอย่างสวยงาม
    ช่วงลำตัวเห็นเป็นซากหนังแห้งๆสีเทา หุ้มโครงกระดูกกะหร่อง เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับว่าพร้อมที่จะล้มกองลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ คุณชุนทนมองภาพอันน่าขนลุกต่อไปไม่ไหว รวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ตะโกนเรียกน้าชายลั่นห้อง จนเสียงสามารถหลุดออกมาจากลำคอได้
    ไม่กี่อึดใจต่อมา น้าชายก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่ร่างอันน่าขนลุกนั่นค่อยๆหายไป คุณชุงลุกพรวดขึ้นจากเตียง บอกกับน้าชายว่า โดนผีหลอก และขอให้น้าชายอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า

    วันต่อมา คุณชุงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จึงรีบไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด และไปเจอเข้ากับเพื่อนเณรก่อน เพื่อนเณรก็บอกว่าเจอเหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนที่กำลังเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัน
    เห็นศพแห้งๆที่อยู่ในโกงดัง ยืนขย่มอยู่บนต้นโพธิ์ข้างห้องน้ำ แล้วค่อยๆใต้ลงมาจากต้นโพธิ์ เพื่อนเณรจึงรีบวิ่งกลับเข้ากุฏิ ส่วนเพื่อนเณรอีกคนนอนจับไข้อยู่ในกุฏิ คุณชุงก็ได้เข้าไปหา
    เพื่อนเณรจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่กำลังจะนอน ได้ยินเสียงคนเคาะที่หน้าต่างกุฏิ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ปรากฏว่าเห็นศพแห้งๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่หัวเป็นสุนัขดำ มีน้ำลายเหนียวๆ ยืดออกมาจากปาก
    เมื่อหลวงพ่อทราบเรื่อง จึงได้ให้จัดเครื่องเซ่นคาวหวาน ไปขอขมาที่หน้าโกดังเก็บศพ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณซุง The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก แดนสนธยา

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - ลุงสมบัติ




ลุงสมบัติ

        ตอนนั้นคุณอาร์มกลับจากกรุงเทพกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วก็มีอาการป่วยขึ้นมาก คุณอาร์มก็นอนพักอยู่ที่บ้าน 2-3 วันแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น จนต้องไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้ พี่ชายของคุณอาร์มทำงานเป็นบุรุษพยาบาลอยู่ที่นี่ด้วย พอไปตรวจอาการกับหมอก็ปรากฎว่าเป็นไข้เลือดออก คุณอาร์มก็ต้องนอนที่โรงพยาบาล ห้องที่คุณอาร์มนั้นพักจะเป็นห้องรวม ในวันสองวันแรกนั้นคุณอาร์มนั้นป่วยหนัก และไม่รู้สึกตัว จนถึงวันที่ 3 คุณอาร์มก็รู้สึกตัวและมีอาการดีขึ้น คุณอาร์มก็ลุกขึ้นนั่ง เพราะนอนมาตั้งแต่วันแรก พอลุกขึ้นนั่งก็มองไปรอบๆห้องพักรวม เตียงที่คุณอาร์มอยู่นั้นจะเป็นเตียงที่ 2 ด้านซ๊ายมือจะเป็นเตียงที่ 1 ซึ่งมีคนลุงท่านนึงนอนพักอยู่ ถัดมาเตียง 2 เป็นเตียงคุณอาร์มถัดไปขวามือ ก็เป็นเตียง 3 ก็มีลุงท่านนึงนอนอยู่ และอีกเตียงนึง คือเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับคุณอาร์ม ที่นอนเอาเท้าชนกัน ทั้งหมดในห้องรวมนั้น มีคนพักอยู่ 4 เตียงจาก 10 กว่าเตียง ลุงที่อยู่ซ๊ายมืออาการไม่หนัก ลุงที่อยู่ขวามือแกป่วย แต่ลุงที่อยู่ตรงข้ามเหมือนจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงพอสมควร อาการถือว่าหนักเลยทีเดียว
ตัวคุณอาร์มนั้นต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว เพราะว่า พี่ชายต้องกลับไปบ้านแฟนที่ราชบุรี เพราะว่าแม่ยายเสีย และในคืนที่คุณอาร์มรู้สึกตัวนั้นคุณอาร์มก็มองซ๊ายมองขวา มองไปเรื่อยๆ ก็เห็นลุงที่อยู่ซ๊ายมือนอนพลิกไปพลิกมาจนแกหันหน้ามาเจอกับคุณอาร์มแล้วก็ยิ้มให้ แล้วก็ทักคุณอาร์มว่า ไอหนุ่ม ได้ข่าวว่า เป็นไข้เลือดออกไม่ใช่หรือ คุณอาร์มก็บอกว่าใช่ครับ ผมเป็นไข้เลือดออกครับ ลุงแกก็ถามต่อว่า แล้วญาติพี่น้องไม่มีเหรอลูก คุณอาร์มก็ตอบว่า ผมมีพี่ชายเป็นบุรุษพยาบาล แต่ว่าเขาไปธุระ ลุงแกก็พูดต่ออีกว่า ดีแล้วหละลูก ดีนะที่มาโรงพยาบาลไว ไข้เลือดออกมันอันตราย พอออกจากโรงพยาบาลก็ทำบุญซะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป ตอนนั้นคุณอาร์มก็สบายใจละ ได้เพื่อนคุย คุณอาร์มก็ถามลุงว่า แล้วลุเป็นไรมา ญาติพี่น้องลุงไม่มาหรอ ลุงก็ตอบว่า ลุงอยู่นี่หลายวันแล้ว แต่ว่ารอดมาได้ ไม่ตายก็บุญโขแล้ว ส่วนญาติพี่น้องเขามาแล้วก็กลับไปแล้ว ระหว่างที่คุยๆอยู่คุณอาร์มก็หันหน้ามองไปทางขวา ก็เห็นลุงเตียง 3 มองจ้องหน้าคุณอาร์มเขม็งเลย คุณอาร์มก็ตกใจ หันไปทีไร ก็เจอลุงเตียง 3 จ้องหน้าอยู่ตลอด จนคุณอาร์มไม่ไหว ก็เลยหันกลับไปถามลุงที่อยู่เตียงด้านซ๊ายว่า ทำไมลุงที่อยู่เตียงขวาถึงจ้องหน้าผมแบบนั้น ลุงแกก็ตอบปนตลกๆว่า ไอหนุ่มหน้าตาดี สงสัยแกจะชอบแหละ ทั้งลุงและคุณอาร์มก็หัวเราะกันไป สรุปคืนนั้นก็นนอนๆหลับไป

แต่พอเที่ยงคืน คุณอาร์มได้ยืนเสียงๆนึง เป็นเสียงกระแอม ประมาณว่า ฮื่มๆ ไอบัติ คุณอาร์มก็มองว่าเป็นเสียงใคร พอมองไปมองมาก็เห็นเป็นลุงที่อยู่ปลายเตียง เพ้อ คำว่า ไอบัติๆ คุณอาร์มก็เลยมองหาตัวช่วย หันไปหาลุงที่อยู่ซ๊ายมือก็เห็นว่าแกมองลุงปลายเตียงอยู่ แล้วก็หันมาสบตาแบบประมาณว่า มันเป็นอะไรของมัน สักพักญาติของลุงปลายเตียงที่อยู่ข้างนอกก็เดินเข้ามาเอาผ้าห่มคลุมให้แล้วพูดว่า พ่อ นอนไปๆ และในคืนนั้นด้วยฤทธิ์ยาคุณอาร์มก็หลับไป

ตื่นเช้ามาหมอและพยาบาล ก็เข้ามาเจาะเลือด ตรวจเกล็ดเลือดเหมือนเดิม หลังจากตรวจเสร็จ คุณอาร์มก็มองไปทางซ๊ายที ขวาที ทางซ๊ายก็เห็นลุงแกนอนพลิกไปพลิกมา ส่วนทางด้านขวานั้นปิดม่านไว้ จนถึงตอนกลางคืน คุณอาร์มก็กำลังเคลิ้มๆจะหลับ คุณอาร์มก็ได้ยินเสียงเหมือนเดิมว่า ไอบัติๆ อยู่ไหนวะเนี่ย ตอนนั้นคุณอาร์มรวมถึงทุกๆคนก็ต้องคิดว่า ไม่อยากให้มีใครมาเสียชีวิตในห้องผู้ป่วยรวม ถ้ามีใครตายไปมันจะอยู่กันไม่ได้ ตอนนั้นคุณอาร์มก็ต้องหาตัวช่วยไปที่ลุงที่อยู่ซ๊ายมือ คุณอาร์มก็หันไปคุยกะแก แกก็บอกว่า ไอหนุ่มดูดิ เหมือนอาการจะหนักนะ ไอหนุ่มเอ้ย เองดูภาพไว้แล้วจำไว้เลยว่า คนเราจะตายเมื่อไรก็ได้นะ ออกจากโรงพยาบาลแล้วเองก็ทำบุญทำทานไว้เยอะๆ คนเรานี่ปุปปับตายกันได้เลย คุณอาร์มก็คุยปรับทุกข์กับลุงไป พอหันไปทางขวาก็เจอลุงคนนั้น นอนจ้องมาที่คุณอาร์ม เหมือนเดิม คืนนั้นคุณอาร์มก็พยายามนอนข่มตาหลับไป

เช้าวันต่อมา พี่ชายของคุณอาร์มก็กลับมาพอดีๆ ก็แวะมาเยี่ยม ก็ถามคุณอาร์มว่า เป็นไงบ้าง ค่อยยังชั่วยัง คุณอาร์มก็บอกว่า ดีขึ้นแล้ว ก็คุยกันไปซักพัก พี่ชายก็ถามว่า อาร์มไม่เหงาหรอ คุณอาร์มก็ตอบกลับไปว่า เหงาสิพี่ แต่อย่างน้อย ก็หันไปคุยกะลุงที่นอนอยู่เตียง 1 บ้าง พี่ชาย ก็บอกว่า โอเคๆ ยังดี ที่มีเพื่อนคุย เอางี้ ถ้าจะออกก็โทรไปหาพี่ละกัน เดี๋ยวพี่มารับ แล้วคุณอาร์มก็ต้องอยู่ที่นี่อีก 2 คน และก็ได้ยินเหมือนเดิมกับลุงปลายเตียงที่เพ้อคำว่า ไอบัติๆ และลุงที่อยู่ขวามือที่ชอบนอนจ้องหน้าคุณอาร์ม ตอนนั้นคุณอาร์มไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ก็พยายามรักษาตัวให้ไข้ลด กินยาตามที่หมอสั่ง เพื่อที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลให้ไวที่สุด จนมาถึงคืนสุดท้าย นี่หนักเลย ลุงที่อยู่ปลายเตียงก็เพ้อเยอะกว่าเดิมพูดคำว่า เอ้ย ไอบัติ เห็นไอบัติมายืนอยู่ ไอบัติมาแล้ว กูเห็นยืนอยู่ พอหันไปทางขวามือก็เห็นลุงคนเดิมมองจ้องหน้า แต่ก็ยังโชคดีตรงที่ว่า ญาติของลุงปลายเตียงเข้ามาแล้วก็ไปตามหมอมา พอญาติพาหมอมา คุณอาร์มก็ได้มีโอกาสแอบฟังเขาคุยกันว่า อะไรคือไอบัติ

สรุปแล้วเรื่องราวคืน ก่อนที่ลุงแกจะเข้าโรงพยาบาลนั้น ลุงแกกับเพื่อนแกที่ชื่อ ลุงสมบัติ ไปเที่ยงงานโบราณที่จังหวัดเพชรบุรี และที่งานนั้นก็มีแข่งวัวลาน แล้ววันนั้นวัวที่มาแข่งวิ่งวัวลานนั้นหลุดออกไป แล้ว ลุงแกกับลุงสมบัติขับรถมอเตอร์ไซด์มาพอดี ทำให้วัวตัวนั้นมาชนกับรถมอเตอร์ไซด์ที่ลุงและลุงสมบัติขี่มา คนขับอาการโคม่า ส่วนลุงสมบัตินั้นเสียชีวิต
และเช้าวันถัดมา หมอก็อนุญาตให้คุณอาร์มกลับบ้านได้ คุณอาร์มก็เลยโทรไปหาพี่ชาย ให้พี่ชายมาเซ็นรับ และรอรับยา ระหว่างที่คุณอาร์มนั่งรอรับยานั้น ก็ได้ยินเสียงญาติๆของลุงที่อยู่ปลายเตียง นั้นวุ่นวายมาก และพูดตลอดว่าพยาบาลช่วยด้วย หมอช่วยด้วย คุณอาร์มก็เลยเรียนพี่ชายที่เป็นบุรุษพยาบาลไปช่วยดู พี่ชายคุณอาร์มก็หายไปประมาณซัก 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาบอกคุณอาร์มว่า ลุงที่อยู่ปลายเตียงแกเสียแล้วหวะ แต่ก็ยังโชคดีนะ แกเสียวันที่ออกพอดี ถ้าอยู่ต่อนี่แย่เลยนะ หลังจากรับยาเสร็จคุณอาร์มและพี่ชายก็กำลังจะกลับบ้าน ก่อนกลับคุณอาร์มและพี่ชายก็แวะกินข้าแถวๆหน้าประตูโรงพยาบาล ระหว่างที่นั่งกินข้าวกัน อยู่ดีๆ พี่ชายก็ถามว่า อาร์ม ถามจริงๆ ตอนอยู่โรงพยาบาลไม่เหงาหรอ คุณอาร์มก็ตอบว่า ก็เหงา แต่ก็มีลุงที่อยู่เตียง 1 คุยเป็นเพื่อนเนี่ยแหละ พี่ชายก็พูดต่อว่า เออ ก็ดีละ ไหนๆก็ไหนๆละ รู้มั๊ยว่า ลุงที่อยู่เตียง 1 หนะ แกชื่อลุงสมบัติ พอคุณอาร์มได้ยินก็เลิกกินข้าวทันทีและก็ออกไปรอหน้าโรงพยาบาลทันที

พี่ชายคุณอาร์มก็เล่าต่ออีกว่า ลุงสมบัติแกมาพร้อมกับลุงที่นอนอยู่ปลายเตียงเลย แต่ว่าลุงสมบัติตายในคืนนั้นเลยที่เตียง 1 คุณอาร์มก็สังเกตว่าวันที่คุณอาร์มออกจากโรงพยาบาลก็ไม่เห็นลุงที่อยู่เตียง 1 แล้ว แต่คุณอาร์มก็ยังไม่แน่ใจก็ถามกลับไปว่า มันไม่จริงหรอกมั๊ง พี่ชายก็บอกว่า มันจะไม่จริงได้ยังไง ก็วันที่ลุงสมบัติเข้ามา กูเนี่ยแหละเป็นคนรับเคสนี้เอง แล้วแกก็ตายที่เตียง 1 เลย และวันที่กูมาเยี่ยมเห็นอยู่เตียง 2 กูก็ตกใจแล้ว กูก็อยากจะบอกนะ แต่ก็กลัวว่าจะกลัว แล้วพอบอกอีกว่าคุยกับลุงเตียง 1 ถ้าถามว่ารักน้องมั๊ย ก็รักนะ แต่กูก็รักตัวกูเองก่อน แล้วพี่ชายคุณอาร์มก็ไปเลย ปล่อยให้คุณอาร์มอยู่กับลุงที่อยู่เตียง 1 ตั้ง 2-3 คืน ส่วนลุงที่อยู่เตียงขวาที่จ้องหน้าคุณอาร์มนั้น ก็คงสงสัยว่าคุณอาร์มกำลังคุยอยู่กะใคร และลุงที่นอนอยู่ปลายเตียงนั้นชื่อว่าลุงสมหวังเป็นเพื่อนกับลุงสมบัติ









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL



เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - รักที่ถูกกีดกัน


รักที่ถูกกีดกัน

         เรื่องนี้คุณอาร์มนั้นฟังมาจากเพื่อนอีกทีนึง เพื่อนคนนี้ชื่อว่า โจ้ ซึ่งเมื่อก่อนคุณอาร์มและโจ้นั้นได้ทำงานอยู่ที่กรุงเทพด้วยกัน แต่ช่วงหลังเพื่อนก็กลับมาทำงานที่บ้าน ที่จังหวัดเพชรบุรี และก็ไม่ได้ติดอะไรกันเลย จนเมื่อประมาณต้นปีเพิ่งได้เจอกัน แล้วเพื่อนคุณอาร์มก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณอาร์มฟังว่า วันนั้นที่ขนของกลับมาจากกรุงเทพ มาถึงบ้านประมาณ 5-6 โมงเย็น บ้านที่โจ้อยู่นั้นเป็นอาคารพานิชย์ โดยก่อนหน้านี้น้องชายของโจ้นั้นอยู่ แต่ว่าน้องชายก็ไปอยู่บ้านแม่ที่ชลบุรีแล้ว จึงทำให้โจ้ต้องอยู่ที่บ้านนี้คนเดียว ตอนที่กำลังขนของเข้าบ้านนั้น โจ้ก็มองไปเจอน้องที่อยู่ข้างบ้านคนนึงชื่อว่า เกด ซึ่ง น้องเกด นั้นโจ้เคยแอบชอบมานานแล้ว โจ้ก็เลยเดินเข้าไปทักน้องเกดว่า สบายดีมั๊ย ไปตามประสา นิสัยส่วนตัวของโจ้นั้นค่อนข้างที่จะเจ้าชู้ ก็เลยคิดว่า กลับมาบ้านว่างๆก็ว่าจะจีบน้องเกดดีกว่า โจ้เลยถามต่อว่า มีแฟนหรือยัง น้องเกดก็บอกว่า หนูเพิ่งเลิกกะแฟนค่ะ ก็เข้าทางโจ้เลยทีนี้ โจ้ก็แอบหยอดๆไปว่า งั้นเดี๋ยวพี่ดามใจให้ คุยกันไปซักพัก โจ้ก็ถามว่า เกดอยู่บ้านกับใคร น้องเกดก็บอกว่าอยู่กับแม่ แม่ของน้องเกดชื่อว่าป้านี

โจ้ก็ชวนน้องเกดว่าไปกินข้าวกับพี่มั๊ย น้องเกดก็บอกว่า มันจะดีหรอพี่ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน โจ้ก็บอกว่างั้นไม่เป็นไร งั้นไปคุยที่ศาลาก็ได้ ซึ่งที่หมู่บ้านของโจ้นั้นจะมีศาลาอยู่กลางหมู่บ้าน และตรงนั้นจะเป็นบริเวณที่วิ่งออกกำลังกายของคนในหมู่บ้าน และก็มีต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่ตรงศาลานั้นด้วย แล้วโจ้กับน้องเกดก็นั่งคุยกันไปจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม โจ้ก็ส่งน้องเกดเข้าบ้าน เสร็จแล้วโจ้ก็เข้าบ้านตัวเองไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวเสร็จ ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกว่า ไอหนูๆ โจ้ก็เปิดออกมาดู ก็เห็นเป็นป้านีแม่ของน้องเกดมาหา โจ้ก็ยกมือไหว้ ป้านีก็ถามโจ้ว่า เพิ่งกลับมาหรอลูก โจ้ก็บอกว่าใช่ครับ คุยกันสักพัก ป้านี่พูดมาคำนึงว่า ไอหนูเอ้ย อย่าไปยุ่งกับเกดมันเลย เกดมันเพิ่งเลิกกับแฟนมา แม่ไม่อยากเห็นลูกเสียใจ โจ้ก็ตอบกลับไปว่า ครับๆ ไม่ยุ่งหรอกครับ แต่ในใจลึกๆ โจ้มันคิดอยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องจีบให้ได้

พอตอนเช้าโจ้ต้องออกไปทำงานแต่เช้า พอออกจากบ้านมาก็เจอน้องเกด ก็เลยชวนน้องเกดว่า คืนนี้พี่เลิกงานแล้วไปคุยกันที่ศาลาดีกว่า น้องเกดก็ยิ้มรับปาก พอหลังเลิกงาน โจ้ก็กลับมาอาบน้ำ แล้วก็ไปรอน้องเกดที่ศาลาตอนทุ่มนึง โจ้ก็รอไปรอมา จนถึง 3 ทุ่มแล้วน้องเกดก็ยังไม่มา แล้วก็คงคิดว่าน้องเกดคงไม่มาแล้วแหละ โจ้ก็กำลังจะกลับบ้าน ก็เห็นป้านีเดินเข้ามา พอป้านีมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาถึงก็ด่าเลยว่า  กูพูดแล้วใช่มั๊ยว่า อย่ามายุ่งกับลูกกู เพราะลูกกูเพิ่งเจ็บมา ไปหาคนอื่นเหอะ อย่ามายุ่งกับลูกกู แล้วโจ้ก็กลับบ้านด้วยอาการนอยด์ๆ เซ็งๆ พอมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงน้องเกดทะเลาะกับแม่ประมาณว่า แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ ใครมายุ่งกับหนูก็ไม่ได้ แม่ก็เที่ยวไปมีปัญหากับทุกคนแหละ ตอนนั้นโจ้ก็คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้เลิกยุ่งดีกว่า


พอเช้ามาอีกวันนึง ออกจากบ้านมาก็เจอน้องเกดอยู่หน้าบ้าน เหมือนจะร้องไห้ โจ้ก็เดินไปคุยกะเกิดว่า เกดพี่พูดตามตรงนะ ถ้าแม่ไม่ชอบขนาดนี้พี่ไม่ยุ่งด้วยดีกว่า น้องเกดก็บอกว่าหนูรู้อยู่แล้วว่าพี่รับหนูไม่ได้แล้วก็ร้องไห้นิดๆหน่อยๆแล้วก็ซึมๆ ต่างคนต่างพูดไม่ออก แต่ด้วยความที่นิสัยโจ้เป็นคนเจ้าชู้ ก็คิดว่าไม่ต้องจริงใจก็ได้ ประมาณว่าแค่มีไรกันแค่นี้ก็จบๆกันไป โจ้ก็เลยบอกกับน้องเกดว่า เอางี้ พี่ไม่เลิกคุยกะหนูก็ได้ แต่คืนนี้เกดไปรอพี่ที่เดิมนะ แต่ว่าหนูต้องไปนะ น้องเกดก็ตอบตกลง หลังจากเลิกงาน โจ้ก็ไปรอที่ศาลาเหมือนเดิม รอบนี้น้องเกดก็มาตามนัด ก็นั่งคุยกันไปตามปกติ และโจ้ก็ถามน้องเกดว่า ทำไมแม่หนูถึงโกรธพี่ขนาดนี้ น้องเกดก็ตอบว่า พี่ แม่หนูตายแล้วนะ แม่หนูตายมาประมาณ 2 เดือนแล้ว แต่ว่าโจ้นั้นไม่เชื่อเลยบอกน้องเกดไปว่า พี่ไม่เชื่อ ถ้าป้านีตายไปแล้ว เมื่อวานเขาจะมาว่าพี่ได้ไง แล้วก็ตอนที่น้องเกดทะเลาะกับแม่พี่ก็ได้ยินนะ น้องเกดก็บอกกลับไปว่า พี่หูฝาดหรือเปล่า ถ้าพี่อยากรู้จริงๆ พี่กล้าไปที่วัดกะหนูมั๊ย ด้วยความที่โจ้ไม่ได้เป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว แล้วก็อยากรู้ด้วย ก็เลยไป น้องเกดก็พาโจ้ไปที่วัด แล้วเดินที่ตรงเจดีย์ที่เป็นโกฐิเก็บกระดูก แล้วน้องเกดก็พูดว่า ถ้าพี่ไม่เชื่อ พี่เอาไฟแช็คจุดดูว่า รูปที่อยู่ตรงหน้าใช่หน้าแม่หนูมั๊ย พอโจ้จุดไฟแช็ค ก็เห็นเป็นหน้าป้านี ตอนนั้นโจ้รู้สึกช็อคมาก และรู้แล้วว่าป้านีนั้นเป็นห่วงน้องเกดมาก และคืนนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พอโจ้ถึงบ้านก็คิดว่า จะคบหรือไม่คบกะน้องเกดต่อดี 

และหลังจากนั้น 2-3 วันโจ้ก็ไม่มองหน้าน้องเกดเลย และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย แต่ถ้าวันไหน ที่โจ้ออกไปหน้าบ้านแล้วเจอน้องเกดและได้คุยกะน้องเกด คืนนั้นจะฝันเห็นป้านีมาที่บ้านบอกว่า อย่ามายุ่งกับลูกกู ตอนนั้นโจ้ยอมรับว่าฝันครั้งสองครั้งก็เริ่มที่จะเชื่อแล้ว แลยตัดสินใจว่าจะเลิกยุ่งกับน้องเกดจริงๆ และตอนเช้าโจ้ก็ลางาน เพื่อที่จะไปทำบุญขอขมาป้านีที่วัด พอไปถึงวัด โจ้นั้นก็จุดธูปไหว้แล้วก็พูดว่า ผมจะไม่ยุ่งกับลูกสาวป้าแล้วครับ และพอดีก็ไปเจอกับหลวงพี่ท่านนึงที่รู้จักโจ้ และบวชอยู่ที่วัดนานแล้ว พอโจ้เห็นโจ้ก็ไหว้แล้วก็ทักหลวงพี่ หลวงพี่สบายดีมั๊ย หลวงพี่ก็ตอบกลับว่าสบายดี แล้วก็ถามโจ้ว่า แล้วนี่มาทำอะไรกัน โจ้บอกว่า ก็มาไหว้ป้านีครับ พอผมรู้ว่าแกเสียผมก็เลยมาไหว้ครับ แต่โจ้นั้นก็ไม่ได้บอกว่ามีอะไรเกิดขึ้น หลวงพี่ก็เล่าให้ฟังว่า โยมป้าแกเสียไปประมาณ 2 เดือนแล้ว เนี่ยรู้มั๊ยว่าแกเสียตรงไหน โจ้ก็ถามว่า ตรงไหนครับ หลวงพี่ก็บอกว่า แกผูกคอตายตรงใต้ต้นมะม่วงตรงศาลานั่นแหละ พอได้ยินคำตอบโจ้ก็ช็อค แต่ก็ถามต่อว่า แล้วป้านีแกทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เขาไม่รักลูกเขา หรืออยู่ดูแลลูกเขาหรอ หลวงพี่ก็เลยบอกต่อว่า ก็ที่ที่เขาผูกคอตายหนะ ก็ที่เดียวกับที่ลูกสาวเขาผูกคอตายนั่นแหละ ซึ่งน้องเกดนั้นผูกคอตายไปก่อนหน้าป้านี ประมาณ 2 เดือน สาเหตุที่น้องเกดผูกคอตายก็เพราะว่าน้องเกดต้องเลิกกับแฟน เพราะว่าป้านีนั้นไม่ให้น้องเกดคบกับแฟน และโกฐิของน้องเกดก็อยู่ติดกับโกฐิของป้านีเลย แต่ว่าคืนนั้น น้องเกดยืนบังหน้าโกฐิตัวเองไว้ ตกเย็นวันนั้น โจ้ก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่ชลบุรีกับแม่เลย

วันที่คุณอาร์มได้ฟังโจ้เล่า ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเห็นหน้าโจ้แล้วรู้เลยว่าไม่ได้โกหกแน่ๆ เพราะรู้ว่าโจ้มันเป็นคนที่ไม่กลัวผี แล้วอยู่ดีๆ จะมาเล่าให้ฟังทำไม และหลังจากที่คุณอาร์มได้มาเล่าเรื่อง รักที่ถูกกีดกัน กับทาง The Ghost Radio อีกวันนึง คุณอาร์มก็นั่งนึกถึงเรื่องนี้ ก็เลยตัดสินใจขับรถไปหาแฟนของน้องเกด คนที่คบกับน้องเกดตอนที่น้องเกดยังไม่ผูกคอตาย ซึ่งก็เป็นเพื่อนของคุณอาร์มเหมือนกัน แต่เพื่อนคนนี้จะไม่ค่อยสนิทกับโจ้ แล้วคุณอาร์มก็เปิดเรื่องที่คุณอาร์มเล่ากับทารายการให้ เพื่อนคนนี้ฟัง พอฟังจบ เขาก็บอกว่า เดี๋ยวกูเล่าอะไรให้ฟัง ตอนนั้นหลังจากที่น้องเกดกับแม่เสียเดือนสองเดือน เขามีธุระที่จะต้องเข้าในหมู่บ้านแห่งนั้น ในตอนกลางคืน และจะต้องผ่านต้นมะม่วงต้นนี้ด้วย ตอนขาไปยังไม่เจออะไร แต่พอขากลับก็เห็นเป็นคน 2 คน นั่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงกำลังนั่งกินเครื่องเซ่นอยู่ และหลังจากนั้นเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยเข้าไปที่หมู่บ้านนี้อีกเลย









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ - ตัดสินใจผิดพลาด



ตัดสินใจผิดพลาด

      เป็นเรื่องของคุณอาร์มที่ฟังมาจากรุ่นพี่ชื่อพี่เอก พี่เอกไปหาพี่นัทซึ่งเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเขามี พี่นัท พี่เอก พี่ต้น พี่ปูพี่หนุ่ม(เป็นแฟนกัน) เรื่องเริ่มต้นที่พี่นัทบ่นว่าอยากจะรวมตัวเพื่อนๆ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีคนว่าง ไปนั่งดื่มก็เบื่อแล้วพี่นัทมีบ้านคุณยายหลังนึงเป็นบ้านทรงไทย คุณยายเสียแล้วก็เลยชวนกันไปลองของกะว่าถ้าไปเสร็จเร็ว จะชวนกันไปดื่มต่อ ทุกคนก็สรุปว่าไปกัน
พอไปถึงบ้านเป็นบ้านทรงไทยสองชั้นร่วมสมัย ก็เข้าไปลองของในบ้านโดยตั้งกฏว่า ห้ามใช้ไฟฉาย และไฟจากมือถือ ให้ใช้แค่ถือเทียนเข้าไปเป็นแสงสว่าง ถ้าเทียนดับก็ให้ใช้ไม้ขีดแค่สามก้าน ถ้าจุดไม่ติดก็ให้เดินมืดๆ ก็เดินไปเข้าห้องนี้ออกห้องนู้นก็ไม่เจออะไรจนสรุปว่า จะเล่นผีถ้วยแก้ว

แต่ทำไงได้แก้วไม่มีกระดาษ(พี่นัทไม่ได้เล่นเพราะกลัวโดนไล่ไปอยู่ข้างนอก)ปากกาไม่มี ก็ไปหาตามห้องก็ไม่มี จนสรุปให้เทียนปักล้อมวงให้แสงสว่าง แล้วพี่หนุ่มวิ่งลงไปที่ศาลพระภูมิ เอาแก้วที่ศาลพระภูมิมาเล่นแล้วพูดว่าถ้าที่นี่มีผีทำไงก็ได้ให้แก้วหมุนหรือพูดตอบกูให้รู้ว่ามีจริง ก็ยังเงียบไม่มีอะไร จนพี่หนุ่มวิ่งลงไปเอาตุ๊กตานางรำมา แล้วบอกเอาอีนี่แหล่ะ มันเข้ามาจะได้รู้ว่าเป็นมัน แต่ก็ยังเงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสุดท้ายแยกย้ายกันกลับเพราะกินเวลานานไม่ได้ไปดื่มต่อ คืนแรกผ่านไปไม่มีอะไร คืนที่สองพี่ต้นโทรมาหาพี่เอก เอกกูไม่ไหวแล้วกูขอไปนอนด้วยได้มั้ย พี่เอกเข้าใจว่าพี่ต้นทะเลาะกับที่บ้านก็ให้มาพี่ต้นมาหาพี่เอกที่บ้านพี่เอกก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ต้นเล่าว่ากูนอนไม่ได้เลย คืนแรกกูกำลังจะหลับกูได้ยินเสียง เท่งติ๊ง เท่งติ๊งป๊ะ ป๊ะ ตึงตึง ตึงตึงตึง(ตะโพน)กูกลัวกูพยายามหลับแต่หลับไม่ได้ จนกูต้องอาศัยนอนตอนเช้าเอา พอมาถึงวันที่สองกำลังอาศัยนอนตอนเช้า ปิดห้องมืดสนิทกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียง เท่งติ๊ง เท่งติ๊งป๊ะ ป๊ะตึง ตึง ตึง พอลืมตาขึ้นมากูเห็นผู้หญิงใส่ชุดนางรำ กำลังรำยกแขนขึ้นลง แต่ตอนที่ยกแขนขึ้นแขนยืดไปถึงเพดานด้วย ตาก็มองมาที่กูแล้วยิ้มตลอด กูเลยวิ่งหนีออกมา พี่เอกคิดว่าพี่ต้นเพ้อเจ้อหรือแกล้งเลยไม่ให้มานอนด้วย จนผ่านไปสามสี่วันไปหาพี่ต้นที่บ้าน ทั้งบ้านพี่ต้นย้ายไปแล้วไม่มีใครอยู่ ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงวันนี้สองปีไม่มีใครติดต่อพี่ต้นได้เลย หายสาบสูญจากวงจรเพื่อนไปเลย
เลยไปหาพี่หนุ่มกับพี่ปูที่เป็นแฟนกัน เพื่อจะไปถามว่าเจออะไรมั้ย พอไปถึงก็นั่งที่โต๊ะกินข้าว โต๊ะมีสี่ที่นั่ง พี่หนุ่มนั่งซ้าย พี่ปูนั่งขวามือพี่เอก


พี่เอกเล่าเรื่องพี่ต้นให้ฟังแล้วถามพี่หนุ่มเจออะไรมั้ยพี่หนุ่มบอกกูไม่เจอ แต่กูอยากให้เมียกูเรียนลิเก พอพูดจบพี่ปูก็ร้องไห้โฮ พี่เอกตกใจแล้วก็บอกเกรงใจพี่ปู พี่หนุ่มบอกจะเกรงใจทำไมนี่เมียกูกูจะให้มันเรียนลิเก (พูดแบบจะมีเรื่องกัน)พี่ปูก็ยิ่งร้อง พี่เอกเลยตัดสินใจกลับบอกเออคุยไม่รู้เรื่องกูกลับล่ะ พอพี่เอกยืนขึ้น พี่หนุ่มเอาปืนจ่อหัวยิงพี่ปู ปังง เสียงดังสนั่นหูวิ้ง พี่เอกช็อคตกใจถามไอ้หนุ่มทำ เxี้ยอะไรเนี่ย พี่หนุ่มเอาปืนกรอกปากตัวเองลั่นไก ปังง พี่เอกช็อค ตอนนั้นพี่เอกตัดสินใจกูต้องไปจากที่นี่ พอลุกขึ้นหันหลังจะออกจากบ้าน พี่เอกได้ยินเสียงตะโพน หันไปดู เห็นพี่หนุ่มกับพี่ปูกำลังยืนรำอยู่ พี่เอกแหกปากวิ่งหนีไปวัด ไปอยู่แถวพระประทานในวัด สามเณรมาเห็นก็ไปตามหลวงพ่อมา หลวงพ่อก็ทำน้ำมนต์ให้ พอได้สติก็สืบสาวราวเรื่องกัน ว่าเป็นไงมาไง ในเรื่องฟังงงๆว่าพี่เอกตาย แต่เข้าใจว่าเล่าสลับ เข้าใจว่าวันที่พี่เอกไปหาพี่หนุ่มกับพี่ปู คือวันที่สองที่พี่หนุ่มกับพี่ปูตายแล้ว พี่หนุ่มหัวฟาดพื้น พี่ปูหัวใจวาย(ในเรื่องบอกพี่เอกหัวฟาดพื้น เราว่าเล่าสลับ)

จนบอกหลวงพ่อ บอกพ่อแม่ว่าไม่ไปไหนแล้วจะอยู่ในโบสถ์นี้จะบวช แต่สามวันที่อยู่วัดได้ยินแต่เสียงตะโพน
ไม่มีสมาธิสวดมนต์หรือท่องหนังสือบวช เลยปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกให้ไปขอขมา ก็ตัดสินใจไปขอขมา ก็ไปกลางวันบ้านไม่ได้ล๊อคขอขมาเสร็จสบายใจกำลังจะกลับลงบันไดมาหันไปเห็นรูปพี่นัท เขยนว่าชาตะ มรณะ ได้ประมาณปีนึงแล้ว สรุปเรื่องคือพี่นัทตายไปได้ประมาณปีนึงแล้ว เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่เอกบวช








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอาร์ม The Ghost 
-Story by The Ghost Radio
- คลิปยูทูป จาก SHOCK PLUS CHANNEL


วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ : ขอทำใจ



ขอทำใจ

ย้อนไปเมื่อประมาณ 14 ปี
คุณหมีจบม.3 ก็มาต่อสายอาชีพ มาเรียนในตัวเมืองพัทยา ซึ่งบริเวณสถานศึกษาก็จะมีร้านข้าวแกงร้านนึง เจ้าของแกเป็นสาวประเภท2 ชื่อพี่สวยแกเป็นคนจิตใจดี เจอแกทีไรแกไม่เคยเครียดเลย ยิ้มตลอดเวลา คุณหมีนับถือแกเหมือนพี่สาว จนแกมาติดพันหนุ่มลูกครึ่งคนนึงอยู่กินด้วยกันโดยมีพี่สวยเลี้ยงดู คือเด็กหนุ่มคนนี้เนี่ยค่อนข้างจะติดเกมส์ด้วยความหลงอะครับ พี่สวยแกเลยยอมเลิกจากร้านข้าวแกงมาเป็นร้านเกมส์ ซึ่งร้านเกมส์จะเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้น ตัวพี่สวยแล้วก็แฟนจะนอนอยู่ชั้น2ด้านล่างก็เหมือนร้านเกมส์ทั่วไป ด้วยความสนิทกับพี่สวย พี่หมีก็ไปเล่นร้านเกมส์แกบ่อยๆ

ต่อมาเนี่ย แฟนพี่สวยก็ไปมีผู้หญิงใหม่ เค้าคบกันแบบลับๆ พี่หมีแกเองก็รู้ แต่ไม่กล้าบอกพี่สวย กลัวแกเสียใจจนพี่สวยแกมารู้ความจริง เลยมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงกับแฟน เวลาทะเลาะกันคือเสียงดังจนได้ยินมาถึงข้างล่าง
ก็มีปัญหามาเรื่อยๆ จนมาครั้งนึงเนี่ย พี่สวยกับแฟนแกก็ทะเลาะกันอีก แต่คราวนี้ค่อนข้างหนัก คือได้ยินเสียงทุบของ ไม่ถึงชั่วโมงแฟนพี่
สวยแกก็ลงมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ ครึ่งชั่วโมงพี่สวยก็ตาม แต่แกก็ยังคงอารมณ์เดิม คือแซวเล่นตามประสา
แต่สักพักแกก็บอกว่าครั้งนี้ขอขึ้นไปทำใจก่อนนะ ครั้งนี้ไม่ไหว 

ทีนี้ประมาณตีสามตี4 แกลงมา แล้วก็พูดกับเด็กในร้านเกมส์คนนึงว่า ขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนแกหน่อย แกกลัวผี เด็กในร้านได้ยินก็ขำ ไม่ได้คิดอะไร พอวันถัดมา พี่หมีแกก็มาอีก ถามถึงพี่สวย เด็กในร้านบอกว่าพี่เค้ายังไม่ลงมา พี่หมีแกก็ขึ้นไปดู คือประตูห้องพี่สวยเนี่ยเป็นประตูกระจก 
พี่หมีแกเห็นพี่สวยนั่งอยู่กับพื้น มือถือแก้วเหล้า พิงกำแพง เห็นเป็นแบบเงาๆ พี่หมีแกก็พูดว่า พี่สวยไม่ลงมาดูร้านเกมส์เหรอพี่สวยแกก็บอกว่า หมีลงไปก่อนๆ
พี่หมีแกเลยบอกว่า ไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่แฟนคนเดียว พี่สวยแกเอามือทุบประตูดังปั้ง
พี่หมีแกก็ตกใจ เกือบตกบันได เลยรีบลงมา แกเลยไปบอกแฟนเก่าพี่สวย ให้มาดูพี่สวยหน่อย
ทีนี้ประมาณ 4 ทุ่ม แฟนเก่าพี่สวยก็มา เค้าก็ขึ้นไปช้ัน 2    สักพัก ก็วิ่งลงมา แล้วขึ้นมอไซคฺบิดไปเลย พี่หมีก็งงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร 

วันต่อมาพี่หมีแกก็มาเล่นอีก สักพักมีรถตำรวจมา ตามมาด้วยรถกู้ภัย ซึ่งมาเพราะว่าตึกข้างๆเนี่ยได้กลิ่นเหม็น เด็กในร้านเกมส์รวมพี่หมี ด้วยความคึก ก็ตามขึ้นไปดูด้วย ซึ่งพี่หมีเห็นเป็นคนแรก 
คือสภาพ พี่สวยแกนั่งท่าเดิมนั่นแหละ คือแกผูกคอตายกับที่จับประตู แล้วแกคงกลัวไม่ตาย เลยกินยาเบื่อหนูลงไปก่อน คือพี่หมีแกก็ตามเรื่องนะ ได้ความว่า พี่สวยแกตายมาไม่ต่ำกว่า 48 ชั่วโมงแล้ว
พี่หมีแกก็ขนลุก ทั้งเรื่องที่แกขึ้นไปคุยกับพี่สวย แล้วที่พี่สวยเดินลงมาหาเพื่อนไปนอนด้วย ...
ทีนี้แกเลยไปถามแฟนเก่า ว่าวันนั้นมีอะไร รีบลงมาทำไม แฟนเก่าก็เล่าให้ฟังว่า เค้าก็เดินขึ้นไปชั้นสองเนี่ยแหละ ทีนี้จะเปิดประตู แต่เปิดไม่ได้ เลยพูดไปว่า พี่สวย ผมมาแล้วเปิดประตูหน่อย ... คือห้องพี่สวยเนี่ยเค้าปิดม่านไว้ พอพูดไปเท่านั้นแหละ พี่สวยแกแหวกม่านมาแล้วพูดว่า  ..... กูตายแล้ว กูไม่ให้เข้าหรอก!

พี่หมีแกก็เล่าถึงผู้หญิงคนใหม่ของแฟนเก่า คือ ตัวผู้หญิงเนี่ย เล่าว่า ช่วงที่พี่สวยตายเนี่ย เค้าไม่รู้นะ แต่ทุกคืน ในช่วงแรกๆจะเจอสาวประเภทสองคนนึง มายืนมองอยู่หน้าบ้าน 
ยืนมองเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร พอไปงานศพพี่สวย ถึงได้รู้ว่าเป็นคนเดียวกันที่มายืนดูเค้าหน้าบ้าน
เมื่อไหร่ที่แฟนเก่าพี่สวยมีแฟนใหม่ ก็จะเจอพี่สวยยืนมองอยู่หน้าบ้าน ทุกคน แต่เป็นแค่ช่วงระยะแรกๆเท่านั้น









# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณหมี The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก The Ghost Room




วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | อีก 15 นาที ตี 1



อีกสิบห้านาทีตีหนึ่ง
เป็นเรื่องราวที่รุ่นน้องเล่าให้ฟัง ชื่อคุณแจ็ค เหตุการณ์เกิดขึ้นที่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวลาดพร้าว คุณแจ็คได้ย้ายมาเรียนต่อในกรุงเทพ และได้เช่าอยู่ที่คอนโดแถวลาดพร้าว
ตอนโดแห่งนี้มีทั้งหมดสิบสองชั้น คุณแจ็คเช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด ซึ่งห้องที่คุณแจ็คเช่าอยู่ เจ้าของได้มาซื้อไว้ แล้วปล่อยให้เช่าต่อ เป็นแค่ห้องโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ คุณแจ็คก็ได้เอาฟูกมาปูนอน และขนข้าวของเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ มาวางในห้อง
ในคืนแรก อาจเป็นเพราะแปลกที่ จึงทำให้คุณแจ็คนอนไม่ค่อยหลับ แต่ในขณะที่กำลังข่มตานอน ทุกอย่างเงียบสนิท ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ๊ง" มาไกลๆ ตามด้วยเสียงรองเท้ายางถูกับพื้นดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" และเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" ผ่านที่หน้าห้อง
คุณแจ็คลองเปิดมือถือเพื่อดูนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที ซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว จึงพยายามข่มตานอน จนเคลิ้มหลับไป คืนต่อมาก็ยังคงนอนไม่กลับ พลิกตัวไปมาอยู่นาน
สักพักก็ได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ๊ง" ตามด้วยเสียงเดินดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" พร้อมกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" เสียงมันเหมือนกับเหล็กกระทบกัน และเมื่อคุณแจ็คดูเวลา ก็เห็นเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที
คืนที่สาม คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกตามเคย จึงลุงขึ้นมานั่งเขียนงาน เพื่อให้มันง่วง และได้เปิดประตูหน้าห้องทิ้งไว้ ให้มีลมโกรกเย็นๆ ในระหว่างที่กำลังนั่งเขียนงานอยู่ คุณแจ็คก็ได้ยินเสียง "ติ๊ง" ตามด้วยเสียง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" พร้อมๆกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง"
เสียงนั้นดังมาจากหน้าลิฟท์ จนมาถึงหน้าห้อง คุณแจ็คหันไปมองทันที เห็นเป็นน้องผู้หญิงคนนึง ตัวเล็กๆ ผิวขาวผมยาว ใส่ชุดนักศึกษา หน้าตาหน้ารักมาก สะพายกระเป๋าข้าง และมีลูกกระพรวนติดอยู่ที่กระเป๋า
คุณแจ็ครู้สึกชอบผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น และคิดว่าน้องผู้หญิงคงจะไปทำงาน หรืออะไรสักอย่าง ถึงได้กลับมาในเวลาเดิมทุกๆวัน คืนต่อมาคุณแจ็คเปิดประตูห้องไว้เหมือนเดิม พอถึงเวลา ก็จะได้ยินเสียงน้องผู้หญิงเดินมาจากลิฟท์
จึงแกล้งทำเป็นหยิบไม้กวาด มากวาดแถวๆหน้าประตูห้อง พอน้องผู้หญิงเดินผ่านมาถึง คุณแจ็คแกล้งทำเป็นพูดว่า "กลับดึกจังเลยนะครับ" น้องผู้หญิงก็ส่งยิ้มหวานมาให้ คุณแจ็คเห็นแบบนั้นก็รู้สึกดีใจ ที่น้องไม่ได้ทำท่าทีรังเกียจ แถมยังยิ้มให้อีกด้วย
คืนต่อมา คุณแจ็คก็ทำแบบเดิม ไปยืนรอส่งยิ้มให้ที่หน้าห้อง จนเริ่มอยากรู้ว่าน้องอยู่ห้องไหน คืนถัดมา คุณแจ็คก็ไปยืนรอส่งยิ้มให้เหมือนเดิม พอน้องเดินผ่านหน้าห้องไป ก็แอบชะโงกหน้ามองตามหลัง
เห็นน้องยืนอยู่ตรงสุดโถงทางเดินหน้าห้อง แล้วหันกลับมามองคุณแจ็ค พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า คุณแจ็คก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร จึงได้ยกนิ้วขึ้นชี้ที่หน้าตัวเอง เป็นเชิงว่าเรียกกันเหรอ
น้องผู้หญิงก็พยักหน้าตอบ แล้วกวักมือเรียก ทำให้คุณแจ็ครู้สึกหัวใจพองโต มีสาวน่ารักที่แอบชอบกวักมือเรียก จึงไม่รอช้า เดินจ้ำเข้าไปหาทันที ไม่สนใจแม้แต่จะใส่รองเท้า
จนใกล้จะถึงตัวน้องประมาณสองช่วงแขน แต่อยู่ดีๆ น้องก็หันหลังให้คุณแจ็ค แล้วเลื่อนหน้าต่างที่อยู่ตรงกำแพงสุดท้ายเดินขึ้น แล้วกระโจนพรวดลงไปข้างล่างทันที คุณแจ็คร้องตะโกนด้วยความตกใจ รีบวิ่งตามไปดู
ในหัวนึกภาพร่างของน้อง ต้องตกลงไปกองอยู่บนพื้นข้างล่างแน่ๆ แต่เมื่อคุณแจ็คชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่าง กลับไม่พบร่างของใครเลย เป็นเพียงแค่ลานจอดรถธรรมดา คุณแจ็คพยายามหาดูจนทั่วบริเวณ เพราะน้องอาจจะไปติดอยู่ตรงจุดไหนสักที่ แต่เมื่อลองหาดูจนทั่ว ก็ไม่พบร่างของน้องไปติดอยู่ที่ไหน
คุณแจ็คค่อยๆเดินถอยหลัง เริ่มสับสนกับเหตุการที่เกิดขึ้น คิดในใจว่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่ คุณแจ็คกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าห้อง ปิดประตูแล้วนั่งขดตัวอยู่บนเตียง ถามกับตัวเองว่าเราเจออะไรกันแน่
คืนนั้น คุณแจ็คนั่งขดตัวกัดเล็บตัวเองทั้งคืนเพราะความกลัว จนรุ่งเช้า พอไปถึงหมาลัย ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง มีทั้งคนที่เชื่อและก็ไม่เชื่อ คุณแจ็คบอกกับเพื่อนว่า อยู่ไม่ได้ กลัวมาก จะขอไปนอนกับเพื่อนที่ห้องด้วย
แต่ไปอยู่ห้องเพื่อนได้แค่สองสามวัน ก็ต้องกลับมานอนที่ห้องตัวเองอีกเหมือนเดิม เนื่องจากห้องของเพื่อนค่อนข้างแคบ และอยู่กันหลายคน จึงเกิดความแออัดไม่สดวกต่างๆ
เพื่อนก็เลยบอกว่า "เอางี้แจ็ค กูสองคนจะไปนอนห้องมึงด้วย ไปดูเลยว่ามันเป็นยังไง อย่างน้อยอยู่กันสามคน คงไม่เป็นไร" คุณแจ็คก็ตกลง จึงได้ย้ายไปนอนห้องคุณแจ็คกันสามคน
จนถึงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบห้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงลิฟท์ ไม่มีเสียงคนเดิน ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น เพื่อนก็บอกว่า "โอเค นี่แค่คืนแรก อาจจะยังไม่มีอะไร คืนที่สองอาจจะมี"
แต่เมื่อถึงคืนที่สอง ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คืนที่สามก็เช่นกัน เพื่อนจึงฟันธงกันว่า "แจ็ค มันไม่มีแล้วล่ะ มึงเจออะไรไม่รู้ แต่มันไม่มีแล้ว" คุณแจ็คยังไม่รู้สึกคลายความกังวล แต่เมื่อเพื่อนจะกลับ ก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด คิดว่าคงต้องลองวัดดวงดูเอง
คืนต่อมา คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกเหมือนเดิม บรรยากาศมันแตกต่างกับตอนที่มีเพื่อนมานอนด้วยแบบคนละเรื่องกันเลย รู้สึกใจหวิวๆ และเงียบเชียบ แต่ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง "ติ้ง!!" มาไกลๆ
ทำให้คุณแจ็คหูผึ่งทันที คิดปลอบใจตัวเองว่า คงจะเป็นผู้อาศัยอื่นๆในชั้นนี้ สักพักมีเสียงดัง "เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด" ผสมกับเสียง "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" คุณแจ็คขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เชื่องช้า จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของคุณแจ็ค ภายในห้องปิดไฟมืด แต่โถงทางเดินด้านนอกยังคงเปิดไฟสว่าง คุณแจ็คมองลงไปที่ช่องเล็กๆใต้ประตู ปรากฏว่าเห็นเป็นขาคนสองข้าง ยืนอยู่หน้าห้อง โดยหันหน้าเข้าประตู
คุณแจ็คใจหายวาบ ความกลัวมันเริ่มปะทุขึ้นในใจเรื่อยๆ จนเหงื่อกาฬผุดขึ้นทั้งตัว รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว แล้วนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่บนเตียง หวาดกลัวต่ออะไรสักอย่าง ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้สิ่งนั้นรีบๆเดินผ่านหน้าห้องไปสักที
แต่สิ่งที่ได้รับจากการขอภาวนาคือ เสียงลูกบิดประตูห้องมันดัง "แกร่กๆ..แกร่กๆ" เหมือนมีคนพยายามจะเปิดประตูเข้ามา ทำให้คุณแจ็คกลัวจนจับใจ ถึงแม้ว่าจะล็อกห้องอยู่ก็ตาม
คุณแจ็คเอาแต่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รู้สึกว่าเสียงมันได้เงียบหายไปสักพัก จึงค่อยๆดึงผ้าห่มออกดู แต่สิ่งที่เห็นทำให้คุณแจ็คผวาจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ยังคงเห็นเท้าคนยืนอยู่หลังประตูเหมือนเดิม แต่ที่เพื่มมาก็คือ มีหน้าคน ค่อยๆแนบลงมามองที่ช่องใต้ประตู จนเห็นลูกกะตาสีขาวๆข้างหนึ่ง
ซึ่งตามหลักสรีระแล้ว เป็นไปไม่ได้ในเวลาที่ยืนหันหน้าเข้าหาประตู แล้วจะสามารถเอาหน้าแนบลงที่ช่องใต้ประตูได้ คุณแจ็ตจ้องมองสิ่งแปลกประหลาด ที่ยืนอยู่อีกด้านของประตูด้วยความสยดสยอง
หน้าที่แนบลงมาใต้ประตูกลอกลูกกะตาไปมา เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่างภายในห้อง สักพักก็ค่อยๆดึงหัวกลับขึ้นไป แล้วเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างช้าๆ "เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง" คุณแจ็คยังคงมองตาค้างอยู่ที่ช่องใต้ประตู เหมือนคนที่สติหลุดออกจากร่างไปแล้ว
รุ่งเช้า คุณแจ็ครีบโทรไปหาเจ้าของห้อง แล้วขอย้ายออกทันที และขอเงินมัดจำคืนครึ่งหนึ่ง เจ้าของห้องถามถึงเหตุผล คุณแจ็คจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้เจ้าของห้องฟัง เจ้าของห้องพูดออกมาว่า "นี่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย"
คุณแจ็คถามต่อทันทีว่าหมายความว่ายังไง ก็ได้ความว่า เมื่อประมาณสองปี ก่อนที่เจ้าของห้องจะมาอยู่ที่นี่ มีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่ง เช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จนฝ่ายชายไล่ฝ่ายหญิงออกนอกห้องแล้วล็อคประตูห้อง ทิ้งให้ฝ่ายหญิงอยู่นอกห้องคนเดียว จึงเกิดความน้อยใจ ก็เลยไปกระโดดตึกตายที่หน้าต่างสุดทางเดิน
หลังจากนั้น คนที่อยู่ชั้นสิบเอ็ด มักจะได้ยินเสียงผู้หญิง เดินร้องไห้อยู่หน้าโถงทางเดิน ในเวลาเที่ยงคืนสี่สิบเอ็ดนาที จนคนย้ายออกกันทั้งชั้น เจ้าของคอนโดจึงนิมนต์พระมาทำพิธิ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของน้องผู้หญิงอีก จนคุณแจ็คมาเจอเข้ากับตัว อาจจะเป็นเพราะดวงสมพงศ์กัน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด








# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณแคร์ The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | ยันต์แดง



ยันต์แดง
  เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี เมื่อสิบปีที่ผ่านมา คุณอั้มย้ายมาอยู่ที่อำเภอไทรน้อยตั้งแต่ยังเด็ก บ้านของคุณอั้มจะอยู่แถวๆปากซอย แถวที่คุณอั้มอยู่ จะมีทาวน์เฮ้าส์ใหม่ๆผุดขึ้นอยู่หลายหลัง แถวกลางซอยแต่เดิม มีทาวน์เฮ้าส์เก่าๆอยู่หลายหลัง แต่ก็ได้รับการบูรณะใหม่ทุกหลัง
    แต่ท้ายซอยจะมีบ้านสองชั้นอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งเก่าและทรุดโทรมมาก ก็เป็นเรื่องที่แปลก ที่ไม่มีบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์หลังไหน กล้าปลูกติดกับบ้านหลังนี้ แต่จะขยับออกไปปลูกกันห่างๆ บ้านหลังนี้ร้างมาตั้งแต่ที่คุณอั้มย้ายเข้ามาอยู่ ผ่านมาไม่กี่เดือน ก็ได้มีคนเข้ามาบำรุงใหม่ ซึ่งก็น่าจะเป็นเจ้าของ แล้วแขวนป้ายให้เช่า ไม่นานก็มีคนมาเช่าอยู่ เป็นร่างทรง

    คุณอั้มมักจะชอบปั่นจักรยานไปเล่นแถวๆท้ายซอยอยู่บ่อยๆ จะเห็นพวกตุ๊กตา พวกของบูชาอยู่เยอะมาก จนล้นออกมาหน้าบ้าน และจะมีควันธูปลอยโขมงอยู่ตลอดเวลา ร่างทรงเช่าอยู่ที่บ้านหลังนี้เกือบสิบปี แล้วก็ได้ย้ายออก ไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนใหม่เข้ามาเช่าอยู่
    แต่ก็อยู่ได้แค่สองวัน คุณอั้มได้ยินชาวบ้านแถวๆนั้นพูดกันว่า คนที่มาเช่าอยู่ใหม่ รีบขนของย้ายออกกลางดึกทันที แต่ทุกคนก็ไม่ทราบเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ก็มีน้าของเพื่อนคุณอั้ม ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้

    ช่วงแรกๆ ตอนที่น้าย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ น้าเป็นคนปกติดีทุกอย่าง แต่หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้สองเดือน ก็เริ่มกลายเป็นคนเพ้อ มักจะบอกว่า เค้ามีแฟนและลูก อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย ทั้งๆที่น้าอยู่ที่นี่แค่คนเดียว
    วันนั้น คุณอั้มได้ขอคุณแม่ว่า จะไปนอนที่บ้านน้าของเพื่อน ที่อยู่ท้ายซอย เพราะจะได้แอบไปสูบบุหรี่ด้วย จึงเดินถือหมอนไปที่ท้ายซอยกับเพื่อนสองคน พอไปถึงบ้านน้า คุณอั้มกับเพื่อนก็คุยเล่นกันปกติ จนเวลาย่างเข้าตีหนึ่ง ก็ขึ้นไปนอนกันที่ชั้นบน ส่วนน้าจะนอนที่ชั้นล่างอยู่แล้ว
    ในห้องชั้นสองไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก มีเพียงแค่เตียงนอนที่อยู่ขวามือ โต๊ะเครื่องแป้งอยู่ถัดจากเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าจะอยู่ตรงปลายเตียง ส่วนห้องน้ำจะอยู่หลังห้อง ตรงข้ามกับประตูทางเข้าพอดี

    คุณอั้มนอนไปได้สักพัก เริ่มได้ยินเสียงพัดลมตั้งพื้นดัง "แกร็กๆๆๆ" ทั้งๆที่ตอนแรกมันก็ไม่ได้มีเสียงอะไร จนเพื่อนที่นอนข้างๆสะกิด แล้วบอกว่า "พัดลมดังอ่ะ" คุณอั้มรู้ว่าเพื่อนกลัว เพราะปกติเพื่อนคนนี้จะเป็นคนกลัวผีมาก
    คุณอั้มจึงลุกไปปิด มันจะไม่ได้ส่งเสียงดังน่ารำคาญอีก สักพักใหญ่ๆ คุณอั้มรู้สึกตัวตื่น เพราะเพื่อนสะกิดที่หลัง ด้วยอารมณ์ที่ง่วงนอนปนโมโห จึงลุกขึ้นมาถามเพื่อนว่า "เป็นอะไรเนี่ย" ก็เห็นเพื่อนนอนหลับตาปี๋ แล้วชี้ไปทางปลายเตียง

    ปรากฏว่ามีเด็กผู้หญิง นั่งหันหลังอยู่ที่ปลายเตียง อายุรุ่นๆอนุบาลสาม ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่ชุดราตรี นั่งแกว่งหัวโยกตัวไปมา จากคนที่ไม่กลัวผี คุณอั้มเริ่มคิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันคืออะไร ความกลัวเล็กๆเริ่มผุดขึ้นในตัว คุณอั้มหลับตาลง คิดในใจว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็น แสดงว่าตาฝาด
    ครู่เดียว คุณอั้มค่อยๆลืมตาขึ้นมา เด็กผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ที่ปลายเตียงมีเพียงแค่ตู้เสื้อผ้าหลังเก่าๆ จึงรู้สึกใจโล่งขึ้นมาทันที แต่อยู่ๆ ประตูห้องมันกลับเปิดออกเอง แล้วค่อยๆอ้าออกอย่างช้าๆ "แอ๊ดดดดดดด"
    คุณอั้มรู้สึกขนลุกตั้ง ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนล็อกมันกับมือก่อนนอนแล้วแท้ๆ ต้องมีคนเปิดมันจากด้านในเท่านั้น แต่คุณอั้มไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ ประตูห้องน้ำก็ค่อยๆอ้าออก คุณอั้มรีบหัวควับไปมองทันที

    ปรากฏว่าเห็นเด็กผู้หญิง คนที่นั่งอยู่ปลายเตียงเมื่อครู่ ไปนอนคว่ำหน้าอยู่กลางห้องน้ำ คุณอั้มตกใจจนตัวเกร็ง รีบหลับตาลง ความกลัวเริ่มแผ่กระจายจนทั่วร่างกาย นึกใจในว่า "ไม่ใช่ๆ เราไม่ใช่คนกลัวผี มันต้องไม่ใช่" แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นดูอีกที ก็เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ในสภาพเดิม
    คุณอั้มคิดในใจว่า มันคืนอะไรกันแน่ ตาฝาดไปเองหรือเห็นภาพหลอน คุณอั้มรีบปลุกเพื่อนที่นอนอยู่ข้างตัวให้ลุกขึ้นมาก่อน "ฟ้า ตื่นๆๆๆ" เพื่อนก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณอั้ม แต่ยังไม่ทันที่คุณอั้มจะได้พูดอะไร เพื่อนก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า "ไม่ต้องเล่า เห็นทุกอย่างแล้ว"

    คืนนั้น คุณอั้มกับเพื่อนตัดสินใจวิ่งลงไปข้างล่าง แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน รุ่งเช้าจึงมานั่งเล่ากันว่าต่างคนต่างเจออะไรกันบ้าง คุณนัทเล่าไปถึงตอนที่เห็นเด็กนั่งอยู่ปลายเตียง แล้วพยายามหลับตาลง พอลืมตาขึ้นมา ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว คิดว่าคงจะตาฝาดไปเอง
    แต่เพื่อนกลับบอกว่า ความจริงเด็กมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันลุกเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินกลับมาเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินหายเข้าไปในตู้เสื้อผ้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เพราะเด็กคนนั้นกึ่งวิ่งกึ่งเดิน อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลน เหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง

    ช่วงเย็น เวลาประมาณหกโมง คุณอั้มและเพื่อนจึงเดินไปเล่าเรื่องนี้ให้น้าฟัง แต่น้ากลับไม่เชื่อ ทุกคนจึงเดินขึ้นไปดูกันที่บนห้อง คุณอั้มเดินนำหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดสวิทช์ไฟที่อยู่แถวๆหัวบันได หลอดนีออนกระพริบอยู่สองสามที แล้วก็ดับพรึบ
    แต่ทุกคนก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก แล้วเดินเข้าไปในห้อง จังหวะที่เปิดประตูเข้าไป กลิ่นอับๆ พุ่งปะทะจมูกของคุณอั้ม จนต้องรีบเอามือปิดจมูก สภาพของห้องต่างจากเมื่อคืนอย่างลิบลับ พื้นไม้มีฝุ่นเกาะอยู่หนาเตาะ เตียงนอนมีแต่ฝุ่นจับอยู่เต็มผ้าปูเตียง ตู้เสื้อผ้าเก่าจนแทบจะหักพับลงมาได้ทุกเมื่อ กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีแต่คราบฝ้าสีขาวๆจับอยู่ทั่วทั้งบาน
    คุณอั้มหัวใจเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอก คิดอยู่ในใจว่า นี่เมื่อคืนเรานอนอยู่ในห้องนี้เหรอ หันไปมองหน้าเพื่อน เห็นเพื่อนทำหน้าจะร้องไห้ คุณอั้มถามน้าว่า "น้า ทำไมห้องนี้มันถึงได้เก่าแบบนี้อ่ะ" น้าตอบกลับมาว่า "ก็ตั้งแต่ที่มาอยู่ ยังไม่เคยขึ้นมาเหยียบข้างบนนี้เลย รู้สึกไม่ชอบข้างบนนี้"

    คุณอั้มเหลือบไปมองที่ประตูห้องน้ำ ก็พบว่ามันถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจเก่าๆจากด้านนอก และมียันต์สีแดงเก่าๆ แผ่นประมาณเท่าฝ่ามือ แปะอยู่กลางประตูห้องน้ำ ถึงแม้ว่าคุณอั้มจะกลัว แต่มีความรู้สึกว่า ต้องรู้ให้ได้ว่าในห้องนั้นมันมีอะไร
    จึงขอทุบแม่กุญแจที่ล็อกประตูห้องน้ำไว้ น้าก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร คุณอั้มเอาค้อนหวดจนที่ล็อกแม่กุญแจหลุดกระเด็น จับบานประตูเตรียมจะเปิด อยู่ๆก็รู้สึกถึงความกลัวในอะไรบางอย่าง ในใจคิดว่า ถ้าเปิดออกมาแล้วเจอศพเด็ก จะทำยังไง
    คุณอั้มรวบรวมสติ ค่อยๆผลักประตูช้าๆ สภาพห้องน้ำค่อนข้างเก่ามาก มีหยากไย่และเชื้อราดำๆ เกาะอยู่เต็มฝ้าและผนัง มีกระถางธูปสีน้ำเงินเก่าๆ มีธูปที่เหลือแต่ก้าน ปักอยู่หนึ่งดอก วางอยู่กลางห้องน้ำ ข้างๆกระถางธูปมีจานใส่กับข้าวขึ้นราดำๆอยู่หนึ่งจาน มีชุดราตรีสีขาวเก่าๆของเด็กผู้หญิง แขวนอยู่ตรงราวแขวนผ้าขนหนู มีตุ๊กตาเกือบๆร้อยตัว ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ กองอยู่ทางผนังฝั่งชักโครก

    คุณอั้มเห็นแบบนั้นก็ผงะถอยหลัง รีบปิดประตูทันที น้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำสีหน้าหวาดกลัวไม่ต่างจากคุณอั้ม ส่วนเพื่อนรีบเดินจ้ำออกจากห้อง ไม่พูดไม่จาสักคำ คุณอั้มอยากจะเดินตามหลังเพื่อนออกจากห้องจนใจจะขาด ติดที่ว่าขาทั้งสองข้างมันตายสนิท
    มาขยับได้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงน้าพูดว่า "ลงไปข้างล่างกันดีกว่า" คุณอ้ำจึงเดินลิ่วออกจากห้องก่อน แล้วน้าก็เดินตามหลังมาติดๆ ระหว่างที่กำลังเดินลงบันได หูก็แว่วได้ยินเสียงเหมือนเด็กกำลังฮำเพลง ออกมาจากในห้องน้ำ "ฮื้มมม..ฮืมมม..ฮื่มมมมม" ทำให้คุณอั้มเสียวสันหลังวาบ ความคิดที่ว่าตนเองเป็นคนไม่ค่อยกลัวผี บัดนี้รู้ซึ้งแล้วว่า ตัวเองเป็นคนที่กลัวผีมากๆ

    หลังจากนั้น คุณอั้มขอให้น้าย้ายออกจากที่นี่ แต่น้ากลับบอกว่าย้ายออกไม่ได้ เพราะน้าทิ้งลูกทิ้งเมียไว้ที่นี่ไม่ได้ ทำให้คุณอั้มเริ่มระแวงว่า ลูกเมียที่น้าพูดถึงอยู่บ่อยๆ เป็นใครกันแน่ จนต้องมีญาติมาบังคับให้ย้ายออก น้าถึงจะยอมย้าย
    คุณอั้มพยายามถามประวัติของบ้านหลังนั้น จากคนที่อยู่ในซอยเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนี้เลย ปัจจุบันคุณอั้มกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง ตั้งแต่ที่เปิดเข้าไปในห้องน้ำห้องนั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด







# Credit

-เรื่องเล่าจาก คุณอั้ม The shock
-Story by The SHOCK FM
- คลิปยูทูป จาก คลังสยอง


เรื่องเล่าสุดสยองขวัญ | หญิงสาว เที่ยงคืน

หญิงสาว เที่ยงคืน เรื่องราวเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของคุณกรมีอาชีพทำงานโรงงาน เกี่ยวกับการทำแบบอะไรพวกเนี๊ย แต่ท...